Yaheem's Side Story
Lamp

Part II - Changes

    "ทำแบบนี้มันไม่ใช่คนแล้ว!!" เด็กชายได้ยินท่านอาอูเนเก็นเข่นเสียงเบาๆ เรียกให้เขาตื่นขึ้น หรี่ตามองเห็นคนพูดที่นั่งอยู่บนพื้นหน้าเตาผิง มือทุบบนเข่าอย่างเดือดดาล

    แม่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ท่านอาอูเนเก็น ทอดสายตาเลื่อนลอยไปเบื้องหน้าโดยไม่พูดอะไร สองมือกอดแขน กระชับผ้าห่มคลุมกาย แม้นจะล้างหน้าจนสะอาด สางผมให้ดูเรียบร้อยขึ้นแล้ว ที่มุมปากของแม่ยังมีรอยแตก ริมฝีปากเจ่อ แก้มทั้งสองบวมแดงและตาข้างหนึ่งช้ำแทบปิด

    ตอนที่จูงยาฮีมออกจากห้องมาจนถึงที่นี่ แม่ปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบหน้าไปเรื่อยๆ ตอนเคาะประตูกระท่อมแล้วพบว่าคนเปิดคือท่านอาอูเนเก็น แม่ถึงกับโผเข้าร้องไห้เงียบๆ กับอกท่านอาโดยไม่พูดอะไร เด็กชายเลยพลอยปล่อยโฮออกมาด้วย จนท่านปู่โยเรต้องปลอบอยู่เป็นนาน

    สุดท้ายเขาก็ผล็อยหลับไปบนเตียงของท่านปู่ มาตื่นเอาตอนนี้นี่เอง

    แต่ตอนนี้ แม่ไม่หลั่งน้ำตาหรือสะอื้นเลยสักครั้ง เหมือนกับว่าท่านร่ำไห้จนไม่เหลือน้ำตาจะหลั่ง กรีดร้องจนไม่เหลือเสียงพอจะสะอื้นอีกแล้ว

    อีกคนที่นั่งข้างๆ ท่านอาอูเนเก็นคือท่านอาชินูยา สีหน้าของเขาเครียดขรึม แม้จะสงบกว่าท่านอาอูเนเก็นก็ตาม

    ท่านปู่โยเรซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เพียงตัวเดียวในห้องถอนใจ

    "เอาเถอะ หนีออกมาได้ก็ดีแล้ว ถ้าไปพักที่บ้านแม่กับพี่สาวไม่ได้ เจ้าก็พักอยู่ที่นี่พลางๆ ก่อนเถอะ"

    แม่สั่นศีรษะเงียบๆ

    "ถ้าลำบากใจเพราะข้ากับอูเนเก็นอยู่ที่นี่ เราออกไปตั้งกระโจมพักข้างนอกแทนได้" ท่านอาชินูยาเสริม ทว่าแม่ยังสั่นศีรษะตามเดิม ตอบเสียงแหบแห้ง

    "ข้ารบกวนพวกท่านไม่ได้หรอก ขอแค่ฝากยาฮีมไว้ที่นี่ก็พอ แล้วข้าจะกลับไป"

    "มันทำกับเจ้าถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะกลับไปอยู่กับมันอีกหรือ!" ท่านอาอูเนเก็นถาม มือเอื้อมไปทำท่าจะโอบไหล่แม่ แต่ก็ชะงักไปเมื่อแม่ตอบ

    "ใช่สิ ข้าต้องอยู่กับเขา...ก็เขาเป็นสามีของข้านี่"

    ท่านอาอูเนเก็นชักมือกลับ เบือนหน้าไปอีกทางขณะที่แม่พูดต่อไป

    "พ่อกับแม่ยกข้าให้เขาแล้ว ตอนนี้...ทุกๆ อย่างที่ข้ามี...ก็เป็นของของเขาทั้งนั้น แต่ยาฮีม..."

    แม่นิ่งเงียบเหมือนลังเลจะพูด ท่านอาอูเนเก็นเลยถามเบาๆ ด้วยคำถามที่เด็กชายไม่เข้าใจความหมายนัก

    "เป็นอย่างที่ข้าคิดใช่ไหม"

    "ข้าไม่อยากให้ยาฮีมต้องโตมากับพ่อแบบนั้น" แม่กลับพูดต่อเหมือนไม่ได้ยินคำถาม "อูเนเก็น ท่านพาเขาไปเถอะ พาเขากลับไปที่เผ่ากับท่าน อยู่ที่นั่นเขาต้องมีความสุขมากกว่าที่นี่แน่ๆ"

    ยาฮีมกำลังจะพูดไปแล้วว่าถึงอย่างไรเขาก็จะอยู่กับแม่ แต่ท่านอาอูเนเก็นชิงพูดขึ้นก่อน

    "ข้าไม่ยอมทิ้งเจ้าไว้คนเดียวอย่างนี้หรอก!"

    "มันน่าจะมีทางออกอื่นไม่ใช่หรือ" ท่านอาชินูยาเปรยเรียบๆ ขึ้นมา "ทำไมเจ้าไม่หย่าจากเขา"

    แม่ส่ายหน้า

    "ถ้าหย่าก็ต้องคืนค่าสินสอด แล้วสินสอดที่เขาให้มา...ก็หมดไปกับค่าทำศพพ่อข้า กับค่ารักษาโรคเรื้อรังของแม่ข้าเมื่อสองปีก่อนแล้ว กระทั่งตอนนี้เขายังออกเงินค่ายา ค่าหมอให้แม่มากกว่าพี่เขยอีก ข้าไม่มีเงินเป็นของตัวเองเลยสักเหรียญเดียว"

    "ถ้าอย่างนั้นข้าจะฆ่ามันเอง ถ้ามันตาย...เจ้าก็เป็นอิสระแล้วใช่ไหม" ท่านอาอูเนเก็นรีบเสนอ

    "อย่าเพิ่งถึงขนาดฆ่าแกงกันเลย" ท่านปู่โยเรปราม "เดี๋ยวข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพระเถระเอมอน ไม่แน่ท่านอาจจะช่วยหาทางให้ดินาห์ได้โดยไม่ต้องใช้สินสอดคืนก็ได้ ถ้าท่านรู้ว่ายาซีนทำร้ายนางถึงขนาดนี้ ท่านต้องไม่อยู่เฉยแน่"

    สีหน้าของท่านอาอูเนเก็นกลับเปลี่ยนไปทันที

    "ข้าไม่อยากหวังพึ่งคนคนนั้นหรอก!" เขาพูดเสียงกร้าว "ท่านอา...ท่านจำไม่ได้หรือว่าใครกันที่ทำให้เรื่องทั้งหมดมันกลายเป็นแบบนี้!!"

    "ไม่ต้องหรอกค่ะ ท่านอาโยเร" แม่ปฏิเสธเรียบๆ "ข้าแต่งงานเป็นภรรยาของเขาแล้ว ถึงหย่าไป...ความจริงข้อนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ข้า...กลับไปเป็นเด็กสาวที่เคยมาเที่ยวเล่นแถวบ้านท่านไม่ได้อีกแล้วค่ะ"

    "แต่ข้ายอมรับเจ้าได้เสมอนะ" ท่านอาอูเนเก็นรีบตอบ แม้นแม่จะก้มหน้านิ่งเฉย "ดินาห์...ข้า...เรื่องตอนนั้นจะให้ข้าขอโทษสักพันครั้งก็ได้ จะให้ข้าทำอะไรไถ่โทษข้าก็ยอม แต่เห็นใจข้าบ้างเถอะ ถ้าเจ้าอยู่กับมันแล้วมีแต่ทรมานแบบนี้...ข้าจะยิ่งเสียใจแค่ไหนเจ้าไม่รู้เลยหรือ"

    แม่กลับลุกขึ้นยืนโดยไม่ตอบเขา ส่งผ้าห่มคืนให้ท่านปู่โยเรแล้วก้าวไปที่ประตูพร้อมกับพูดเรียบๆ

    "ข้าต้องกลับก่อน ถ้ายาซีนตื่นมาไม่เห็นจะยิ่งโมโห"

    "แม่อย่าไปนะ!" ยาฮีมทนเงียบต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เขาผุดลุกขึ้น กระโจนลงจากเตียงวิ่งไปกอดแม่ไว้ "อย่าทิ้งข้าไปสิฮะ!"

    แม่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาคุกเข่าตรงหน้าเด็กชาย จุมพิตหน้าผากของเขาเบาๆ

    "แม่ต้องไปจ้ะ แต่ยาฮีมไม่ต้องห่วงแม่นะ อยู่ที่นี่กับท่านปู่กับพวกท่านอานะจ๊ะ"

    "แต่...แต่...ถ้าแม่กลับไป...เดี๋ยวพ่อก็...ก็ทำร้ายแม่อีก" เด็กชายนึกว่าตนเองร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาแล้ว ทว่ายิ่งพูด มันกลับยิ่งหลั่งไหลออกมา

    "พ่อไม่ทำร้ายแม่อีกหรอก...ถ้ายาฮีมเป็นเด็กดี แต่ถ้ายาฮีมไม่เป็นเด็กดี นอกจากพ่อจะทำร้ายแม่แล้ว แม่ก็จะ...ไม่รักอีกนะ" แม่พูดกึ่งปลอบกึ่งขู่ แต่เสียงของแม่ยังคงอ่อน ติดจะเป็นสั่นน้อยๆ อยู่ดี

    "เดี๋ยวข้าจะไปส่งแม่เจ้าเอง ไม่ต้องห่วงหรอกยาฮีม" ท่านอาชินูยาพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินเข้ามาหาทั้งสอง

    "ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปเถอะ" ท่านอาอูเนเก็นรีบขัด แต่คนเสนอตัวก่อนกลับหันไปพูดแย้งเรียบๆ

    "ข้าไปดีกว่า เจ้าน่ะอารมณ์ร้อน เดี๋ยวจะทำเรื่องให้แย่ลงกว่าเดิม"

    ท่านอาอูเนเก็นเลยจำใจนั่งอยู่ที่เดิม แม่หันไปมองท่านอาชินูยาแล้วเอ่ยเรียบๆ

    "ขอบคุณค่ะ"

    จากนั้นแม่ก็แค่บอกว่า "แม่ไปก่อนนะ ยาฮีม" ก่อนจะเดินตามท่านอาชินูยาไปนอกประตู และจากเขาไปเท่านั้นเอง


    ยาฮีมเข้านอนต่อจนถึงเวลาสาย พอตื่นขึ้นมาก็เจอแค่ท่านปู่โยเรดูแลให้เขาล้างหน้าล้างตา กินอาหารเช้า พอเด็กชายถามว่าท่านอาทั้งสองไปไหนก็ได้รับคำตอบว่าไปล่าสัตว์

    จากนั้นท่านปู่โยเรก็พาเขาไปส่งที่อาราม ทำให้พระเถระเอมอนประหลาดใจมาก ถามท่านปู่โยเรว่าเกิดอะไรขึ้นยาฮีมถึงได้มาสาย และเหตุใดท่านจึงได้มาส่งเด็กชายแทนแม่

    ตอนที่พระเถระสั่งให้ยาฮีมกับเด็กอื่นๆ นั่งคัดตัวอักษรอยู่นี่เองที่ท่านเอมอนกับท่านปู่ไปคุยกันนอกโรงสวด ทำให้เด็กชายไม่รู้ว่าทั้งสองพูดอะไรกัน อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลาบ่าย ยาฮีมก็พอเดาได้ เมื่อพระเถระพูดกับท่านปู่โยเรก่อนที่ท่านจะพาเขากลับไปว่า

    "แล้วข้าจะเรียกยาซีนกับดินาห์มาคุยในวันพรุ่งนี้เลย ปล่อยไว้นานจะยิ่งไม่ดี"

    ตอนกลับจากอารามถึงบ้านท่านปู่โยเร ยาฮีมเลยโล่งใจขึ้นมาบ้าง เขาเชื่อว่าพระเถระเอมอนต้องช่วยแม่ได้แน่ๆ ก็ท่านเป็นผู้ทรงศีล ต้องมีอำนาจขับไล่ปีศาจร้ายไปจากตัว 'พ่อ' ได้นี่นา

    เขาทำการบ้านเสร็จที่บ้านท่านปู่ตั้งแต่บ่ายแก่ๆ จากนั้นก็นั่งเล่นดูท่านปู่ผ่าฟืน จนฟ้าเป็นสีแดง ดวงอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าแล้ว ใครคนหนึ่งก็มาอย่างไม่คาดฝัน

    "แม่!"

    แม่ส่งยิ้มให้เด็กชายที่โผเข้ากอดด้วยสีหน้าสดใสขึ้น รอยแผลบนใบหน้าดูเบาบางลงด้วยแป้งที่ผัดกลบ

    "เป็นยังไง ยาฮีมเป็นเด็กดีใช่ไหมจ๊ะ"

    "ฮะ ถามท่านปู่โยเรสิฮะ ข้าทำการบ้านเสร็จแล้วด้วย"

    แม่หัวเราะน้อยๆ พร้อมกับลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู

    "เก่งจริง...อย่างนี้ฝากให้ท่านปู่เลี้ยงบ่อยๆ น่าจะดีนะ"

    "แต่...ยังไงข้าก็อยากอยู่กับแม่มากกว่า" เด็กชายพูดเสียงอ่อยลง

    แม่ดึงตัวเขาเข้ามากอดแน่นโดยไม่พูดอะไร ท่านปู่โยเรเลยพูดขึ้นแทน

    "ดินาห์ วันนี้ข้าไปพูดกับพระเถระแล้วนะ ท่านบอกว่าจะพูดกับยาซีนให้"

    "ค่ะ" แม่แค่ตอบรับเรียบๆ ก่อนจะจูงมือยาฮีมไปยังตอไม้ที่ว่างอยู่ นั่งลงแล้วช้อนตัวยาฮีมขึ้นนั่งบนตัก "อันที่จริงไม่ต้องลำบากท่านอาก็ได้"

    "ข้าขอโทษ ก็รู้ว่าเจ้าห้ามไม่ให้พูด แต่ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง รู้อย่างนี้แล้วจะนิ่งเฉยไว้ก็กระไรอยู่"

    "ข้าเข้าใจค่ะ ตอนนั้นข้าก็พูดออกไปโดยไม่คิดเหมือนกัน"

ท่านปู่โยเรไม่ตอบว่าอะไร ผ่าฟืนต่อไปเรื่อยๆ จนแม่ถามขึ้น

    "ว่าแต่...อูเนเก็นกับเพื่อนเขาไปไหนหรือคะ"

    "ไปล่าสัตว์แต่เช้า ยังไม่เห็นกลับมาเลย" คำพูดของท่านปู่ทำให้แม่ตัวเกร็งขึ้นจนยาฮีมรู้สึกได้

    "ยาซีนเองก็ออกจากบ้านไปแต่เช้าเหมือนกัน..."

    ท่านปู่ชะงักตอนที่กำลังเงื้อขวานขึ้น หันหน้ามาสบตากับแม่ด้วยสายตาเป็นกังวล

    แต่แล้วท่านก็หันกลับไปผ่าฟืนต่อ ก่อนจะพูดโดยไม่หันมาอีก

    "อย่าเพิ่งคิดมากไปเลย อาจจะไม่มีอะไรก็ได้"

    แม่พยักหน้าน้อยๆ แต่เด็กชายเงยหน้ามองเห็นว่าสีหน้าของแม่ยังดูไม่สู้ดีอยู่นั่นเอง

    รอจนกระทั่งท่านปู่เลิกผ่าฟืนก็แล้ว จนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากสีแดงเป็นม่วงแล้ว จนรอบข้างมืดลงกระทั่งท่านปู่ต้องจุดตะเกียงแขวนไว้นอกบ้านแล้ว ท่านอาทั้งสองก็ยังไม่กลับมาเลย

    พอแม่พูดว่าคงต้องกลับบ้านเสียที ไม่อย่างนั้นถ้า 'พ่อ' กลับมาถึงก่อนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็พอดีกับที่ทั้งสามเห็นเงาตะคุ่มที่มีคันธนูคล้องไหล่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

    แม่ผุดลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นท่านอาอูเนเก็นที่มีเลือดเปื้อนเต็มตัว

    "อูเนเก็น เกิดอะไรขึ้น!" ท่านปู่โยเรถาม

    "...เรา...เจอหมี...ชินูยา...อยู่ร้านหมอ..." ท่านอาอูเนเก็นตอบพลางหอบเป็นห้วงๆ

    "เป็นอะไรมากหรือเปล่า" แม่ถามขึ้นบ้าง

    "...ไม่...ถึงตายหรอก...แต่...แต่ยาซีน..."

    ดวงตาของแม่เบิกโพลงขึ้น ยืนตัวแข็งทื่อก่อนที่ท่านอาอูเนเก็นจะพูดต่อจนจบเสียอีก

    "...ตายแล้ว......องครักษ์...ของอาราม......หามศพ...กลับ...ที่บ้าน..."


    แสงตะเกียงหลายดวงของเหล่าองครักษ์ประจำอารามรอต้อนรับแม่กับเด็กชายกลับบ้าน สมทบกับแสงตะเกียงของท่านปู่โยเรกับท่านอาอูเนเก็นช่วยนำทาง ส่องให้เห็นห่อผ้าดิบสีขาวนวลที่มีรอยเปื้อนสีแดงซึ่งวางอยู่บนพื้นหน้ารั้วบ้านได้ชัดเจน

    ยาฮีมไพล่นึกไปถึงผ้าปูเตียงสีนวลในห้องของ 'พ่อ' กับแม่ที่มีรอยเลือดประปรายเมื่อคืนก่อน ทว่าห่อผ้านี้เปื้อนเลือดเยอะกว่ามากมายนัก

    พระเถระเอมอนเงยมองพวกเขาโดยไม่พูดอะไร แม่ฝากยาฮีมไว้กับท่านปู่โยเรก่อนจะก้าวออกไป คุกเข่าลงหน้าห่อผ้านั้น

    มือเหี่ยวย่นของท่านปู่บังสายตาของเขาไว้ พอมือนั้นยกขึ้นอีกที แม่ก็จัดผ้าห่อศพให้เรียบร้อยเหมือนเดิมแล้ว เด็กชายเลยไม่ได้เห็นหน้า 'พ่อ' สักนิด

    ดวงตาของแม่มีน้ำคลอ แต่ไม่มีเสียงสะอื้น จนทุกวันนี้ ยาฮีมก็ไม่รู้ว่าน้ำตาที่แม่หลั่งให้พ่อในวันนั้นมาจากความเสียใจ อาลัยอาวรณ์ หรือโล่งอกว่าสิ้นเวรสิ้นกรรมกันเสียที

    ส่วนตัวเขาเมื่อโตขึ้นเชื่อว่าเป็นอย่างหลังสุด

    "ขอบคุณพระเถระมากค่ะ ที่ให้พวกองครักษ์กรุณานำศพกลับมาให้" แม่พูดกับพระเถระเอมอนด้วยเสียงเรียบๆ

    "ไม่เป็นไรหรอก ข้าเองก็อยากช่วยเหลือเท่าที่ทำได้" พระเถระเอมอนตอบเสียงเรียบพอกัน "จะให้ข้านำศพไปให้สัปเหร่อที่อารามในคืนนี้เลยไหม"

    แม่พยักหน้า

    "ขอบคุณมากค่ะ ฝากให้เขาต่อโลงไว้เลยนะคะ จะได้ทำพิธีฝังเช้าวันพรุ่งนี้ ข้าจะเตรียมเงินค่าทำศพกับเสื้อผ้าของยาซีนให้"

    ว่าแล้ว แม่ก็บอกให้ท่านปู่โยเร ท่านอาอูเนเก็น กับยาฮีมตามเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็ปล่อยให้ทั้งสองนั่งอยู่กับเด็กชายที่โต๊ะอาหาร ขณะที่แม่เข้าไปในห้องนอนของ 'พ่อ' เพื่อหาเสื้อผ้าและเงินที่ 'พ่อ' เก็บไว้

    หลังจากที่พระเถระกับพวกองครักษ์นำศพไปเรียบร้อย แม่ก็ทำอาหารเย็นง่ายๆ ให้กับทั้งสี่ แล้วท่านปู่โยเรพาเขาไปอาบน้ำ ปล่อยให้แม่กับท่านอาอูเนเก็นคุยกันเบาๆ ตามลำพัง จากนั้นพอถึงเวลาที่เขาจะเข้านอน ท่านอาอูเนเก็นก็อาสาจะค้างที่บ้านเป็นเพื่อน แต่แม่ปฏิเสธ ทั้งท่านปู่โยเรกับท่านอาอูเนเก็นจึงกลับไป

    หลังจากที่แม่ห่มผ้าให้ยาฮีมเรียบร้อย จุมพิตราตรีสวัสดิ์แล้วเอนกายลงนอนข้างๆ เขานั่นเองที่เด็กชายถามขึ้น

    "พ่อจะไม่กลับมาแล้วเหรอฮะ"

    "...จ้ะ" แม่กระซิบเบาๆ กับเขา "ไม่กลับมาอีกแล้ว"

    "แล้วจากนี้ เราจะอยู่กันแค่สองคนเหรอฮะ"

    "...คงอย่างนั้นแหละจ้ะ" แม่ตอบก่อนจะเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดต่อ "บางที...เราอาจจะไม่ได้อยู่บ้านนี้ต่อไปด้วย"

    "ทำไม"

    "ก็...นี่เป็นบ้านของพ่อนี่จ๊ะ ไม่รู้ว่าญาติคนอื่นๆ ของพ่อจะให้เราอยู่ต่อหรือเปล่า"

    "แต่เราก็ไปอยู่กับท่านปู่โยเรได้นี่ฮะ"

    "...คงอย่างนั้นมั้งจ๊ะ"

    "ดีจังเลย" ยาฮีมตอบด้วยเสียงรื่นเริง

    เด็กชายไม่ได้อาลัยอาวรณ์บ้านหลังนี้สักนิด มันออกจะกว้างใหญ่เกินไปแม้สำหรับคนสามคน และมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ภายในบ้านดูโล่งและหนาวเย็นกว่าปกติอยู่เสมอ

    เคยได้ยินคนอื่นๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามแม่ว่าบ้านหลังนี้มี 'ผี' หรือเปล่า เพราะภรรยาคนก่อนของ 'พ่อ' ป่วยตายที่บ้านหลังนี้ ทุกครั้งแม่ตอบว่าไม่เคยเห็น ยาฮีมเองก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่ก็ไม่เดือดร้อนอยากเห็น เพราะเขาบอกกันว่าผีน่ากลัว แค่บ้านนี้มีปีศาจตนเดียว เด็กชายก็ว่าร้ายเกินพอแล้ว

    ในคืนนี้ เขาหลับสบายเมื่อรู้ว่าปีศาจจะไม่กลับมาอีก


    เมื่อถึงตอนเช้า แม่แต่งตัวด้วยชุดสีดำล้วน ส่วนเสื้อผ้าสีดำที่ยาฮีมเคยใส่ตอนงานศพของตาเมื่อสองปีก่อนคับเกินตัวเสียแล้ว แม่เลยให้เขาสวมเสื้อผ้าสีอ่อนเนื้อเรียบใกล้เคียงกับขาวที่สุดแทน

    เด็กชายจำงานศพของตาเมื่อตนเองอายุสามขวบไม่ได้เลย จึงไม่รู้จะเปรียบเทียบอย่างไร เท่าที่รู้จากคำบอกของแม่คือตอนนั้นตาเริ่มป่วย อาการทรุดลงเรื่อยๆ ทุกคนในบ้านเตรียมใจแล้วว่าคงอยู่ได้ไม่นาน แม่เลยมีเวลาตระเตรียมเสื้อผ้าไว้ทุกข์ทั้งของ 'พ่อ' กับเขา ไม่กะทันหันเหมือนคราว 'พ่อ' ครั้งนี้

    พอกินอาหารเช้าเสร็จ แม่ก็พาเขาไปที่อาราม พระเถระเอมอนรออยู่แล้ว ลุงสัปเหร่อขุดหลุมใหม่ในสุสานเรียบร้อย แผ่นป้ายหินแบบเรียบๆ สลักชื่อ 'พ่อ' ก็ตั้งอยู่ที่หัวหลุม รอเพียงยกกล่องไม้ใส่ 'พ่อ' ที่แม่บอกว่าเรียกว่า 'โลง' ลงไปแล้วกลบดินเท่านั้น

    พวกชาวบ้านที่สวมชุดดำค่อยๆ ทยอยมา รวมทั้งลุงเขยกับป้าของเขา แต่ยายกับเด็กลูกพี่ลูกน้องสองคนนั้นไม่ได้มาด้วย ท่านปู่โยเรกับท่านอาอูเนเก็นมาเช่นกัน ท่านปู่โยเรเข้ามาบอกแม่ว่าท่านอาชินูยายังอาการไม่ค่อยดีเท่าไร เลยมาไม่ได้ ส่วนท่านอาอูเนเก็นยืนอยู่ห่างจากบริเวณพิธี ไม่เข้ามาทักทายทั้งสอง แต่ยาฮีมก็จำท่านอาได้แต่ไกล เพราะท่านอายังคงแต่งกายตามปกติ ไม่ได้สวมชุดดำเหมือนคนอื่นๆ

    มีคนมางานศพของ 'พ่อ' มากมายตั้งแต่ตอนสายๆ แต่กว่าจะได้สวดและทำพิธีฝังจริงๆ ก็เกือบเที่ยง เพราะต้องรอให้ญาติของพ่อที่อีกหมู่บ้านหนึ่งมาถึงเสียก่อน

    ยาฮีมจำญาติทาง 'พ่อ' ที่นานๆ ครั้งจึงจะได้พบไม่ได้ ซ้ำครั้งนี้พอพวกเขามาถึง แม่ก็ไม่ได้เตือนความจำว่าใครเป็นใคร เพราะพระเถระเอมอนบอกว่าในเมื่อมาครบแล้วก็ขอเริ่มพิธีทันที เนื่องจากเวลาผ่านมานานมากแล้ว

    พิธีก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก พวกองครักษ์ประจำอารามช่วยกันหย่อนโลงลงไปในหลุม จากนั้นเด็กชายก็แค่ประสานมือยืนอยู่ข้างๆ แม่เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่พระเถระสวดมนต์ พอสวดมนต์จบ ท่านก็พรมน้ำที่แม่บอกว่าเป็นน้ำมนต์ลงบนฝาโลง แล้วทุกคนต่างก็ทยอยทิ้งดอกไม้สีขาวลงไปคนละดอก เริ่มตั้งแต่แม่กับยาฮีม จนหมดแล้วจึงกลบดินฝังโลงนั้น

    ดินหนักขนาดนั้น พ่อก็คงลุกกลับขึ้นมาทำร้ายแม่ไม่ได้อีกแล้ว

    พระเถระเอมอนกับพวกชาวบ้านค่อยๆ แยกย้ายกันไปหลังเสร็จพิธี แต่ญาติของ 'พ่อ' ยังคงอยู่ เด็กชายเห็นพวกเขาบางคนมองแม่สลับกับท่านอาอูเนเก็นที่ยืนอยู่ห่างๆ ด้วยสายตาไม่ดีนัก หญิงคนหนึ่งในหมู่ญาติของ 'พ่อ' ถึงกับก้าวเข้ามาประชิดตัวแม่กับยาฮีม พูดด้วยเสียงที่ไม่ได้เบาเลย

    "ไง สมใจเจ้าแล้วสินะ หาคนมารับท้องไม่มีพ่อได้ หลอกเกาะกินปอกลอกจนคุ้ม แล้วก็ตามชู้มากำจัดเขาทิ้งน่ะ"

    เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าเรียบเฉยของแม่ กับสีหน้าที่เขาไม่รู้จะบรรยายอย่างไรของหญิงคนนั้นอย่างงงๆ ไม่รู้ความหมายของคำที่นางพูดนัก ท่านปู่โยเรกับท่านอาอูเนเก็นก้าวเข้ามาหาแม่พร้อมกัน ท่านอาขยับปากทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าแม่ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยเสียงเรียบๆ

    "อูเนเก็น ช่วยพายาฮีมไปเดินเล่นทีนะ"

    ท่านอาอูเนเก็นนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็เริ่มแย้ง

    "แต่ว่า..."

    "ข้ามีเรื่องต้องตกลงกับญาติของยาซีน คงคุยกันนานอยู่ ให้เด็กอยู่ฟังเดี๋ยวจะเบื่อ" แม่ยังคงพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ "ฝากด้วยนะคะ"

    ท่านอาเลยพยักหน้า ก่อนจะส่งมือให้ยาฮีมแล้วจูงเขาไป

    "ไป ไปเที่ยวกับอาดีกว่า"

    เด็กชายหันไปเห็นแม่ส่งยิ้มและโบกมือให้ ทำให้สบายใจว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดกับแม่คงไม่ใช่เรื่องไม่ดีอย่างที่คิด

    แต่คำที่คุ้นหูเหมือนเคยได้ยินมาก่อนหน้าก็ยังสะกิดใจ และทำให้เขาถามท่านอาอูเนเก็นขณะที่เดินห่างไปได้สักระยะ

    "ชู้ แปลว่าอะไรหรือฮะ"

    ท่านอาอูเนเก็นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ

    "อืม...อาก็ไม่รู้เหมือนกัน"

    "ทำไมท่านอาถึงไม่รู้ล่ะฮะ"

    "ก็...เอ่อ...ไม่รู้ก็คือไม่รู้สิ แต่ท่านปู่โยเรน่าจะรู้ล่ะ"

    "ถ้างั้นไปถามท่านปู่โยเรกันเถอะ"

    "เดี๋ยว ตอนนี้ไม่ได้หรอก" ท่านอาแย้ง "ท่านปู่ต้องช่วยแม่เจ้าคุยกับญาติๆ ของ...พ่อ...ไม่ใช่เหรอ"

    "อือ" ยาฮีมเหลียวกลับไปเห็นท่านปู่โยเรยืนอยู่กับแม่ เสียงพูดคุยของทั้งสองฝ่ายดังมาแว่วๆ แต่ระยะไกลขนาดนี้ทำให้จับใจความไม่ได้

    "ทำไมท่านอาไม่ใส่ชุดดำล่ะฮะ" เด็กชายหันมาถามต่อ เมื่อนึกได้ว่าทุกๆ คนที่เห็นล้วนแต่งดำทั้งสิ้น

    "ก็อาไม่มีชุดดำนี่ เราก็ไม่มีเหมือนกันไม่ใช่รึไง"

    "มีฮะ แต่ใส่ไม่ได้" ยาฮีมรีบแย้ง "ของงานศพตาเมื่อสองปีก่อน"

    "เหรอ" สีหน้าของท่านอาดูจะเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง "แล้วเขาเป็นอะไรตาย ยาฮีมรู้ไหม"

    "รู้แต่ว่าไม่สบายฮะ" เด็กชายตอบแล้วก็นึกได้ว่าตนจำหน้าของตาได้เลือนรางเหลือเกิน เหมือนจะไม่ได้พบบ่อยนัก "ตอนนี้ยายก็ไม่สบายอยู่"

    "ฮื่อ" ท่านอาอูเนเก็นตอบรับเพียงเท่านั้น

    "ยายก็เลยไม่มา"

    "ไม่มานั่นแหละดีแล้ว" ท่านอาพูดโดยเร็ว น้ำเสียงแข็งขึ้นทันควัน

    "ทำไมล่ะฮะ"

    ท่านอาอูเนเก็นชะงักไปแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองยาฮีมแล้วยิ้มออกมา

    "ก็ถ้าคนป่วยมา จะลำบากเปล่าๆ น่ะสิ ให้พักผ่อนไปล่ะดีแล้ว" ท่านอาพูด

    เด็กชายแทบไม่ได้ฟังท้ายประโยคนัก เพราะร่างเล็กๆ สีน้ำตาลแดงที่เขาเห็นไต่บนกิ่งไม้แวบๆ เรียกความสนใจเสียก่อน

    "อะ...กระรอก!"

    "ระวังล้มนะ!!"

    ยาฮีมวิ่งไปเข้าไปหาต้นไม้โดยไม่ฟังเสียง แต่เพียงขยับเท้าก้าวเดียว เจ้าตัวปราดเปรียวนั้นก็ไต่หายไปจากสายตาแล้ว ทิ้งให้เด็กชายได้แต่ยืนทำหน้างออยู่ที่ใต้ร่มเงาไม้

    "ว้า...ไปซะแล้ว"

    "เจ้าพวกนี้มันไวอยู่แล้วนี่นา" ท่านอาอูเนเก็นเดินตามมายิ้มๆ "ยาฮีมชอบกระรอกหรือ"

    "ฮื่อ" ยาฮีมพยักหน้าหงึกหงัก "ข้าอยากเลี้ยงกระรอก เคยขอให้ท่านปู่จับมาให้ แต่แม่ไม่ยอมให้เลี้ยง บอกว่าจับมันขังกรงน่าสงสารออก"

    ท่านอาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเปรย

    "ยังใจดีเหมือนเดิม"

    "หือ"

    "หมายถึงแม่เจ้าน่ะ...ใจดีเหมือนเดิม"

    "ท่านอารู้จักแม่นานแล้วเหรอ"

    "อืม" ท่านอาอูเนเก็นรับ แล้วก็ขยายความหลังผ่านไปครู่หนึ่ง "ก่อนหน้าที่แม่เจ้าจะแต่งงานเสียอีก"

    "แล้วพ่อล่ะ รู้จักด้วยหรือเปล่า"

    "...ก็เคยเห็นหน้า แต่ไม่ได้คุยกันหรอก" ท่านอาตอบแล้วก็กลับถามทันที "ว่าแต่กระต่ายล่ะ ยาฮีมชอบไหม"

    "ฮื่อ" เด็กชายพยักหน้าทันที "ขนมันนุ่มดี ข้ารู้เพราะข้ามีหมวกขนกระต่ายด้วย แม่ทำให้"

    "อยากไปดูกระต่ายเยอะๆ ไหม" ท่านอาคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ทั้งปากทั้งตาฉายรอยยิ้มเป็นประกาย "ที่บ้านอามีเต็มเลย วิ่งๆ ไปในทุ่งซักพักก็เจอ"

    "อยากฮะ" ยาฮีมรีบพยักหน้า ก่อนจะถามเมื่อนึกได้ "ว่าแต่บ้านท่านอาอยู่ไกลนี่นา"

    "ก็ไกลอยู่ แต่อามีม้า พาเราขี่ไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง ไปถึงนั่นแล้วอาจะสอนขี่ม้าให้ แล้วก็จะหาม้าตัวเล็กๆ ให้ยาฮีมด้วย อยากได้ไหม"

    "อือ" เด็กชายพยักหน้าทันควัน

    "ถ้าอยาก...ยาฮีมก็ไปชวนแม่นะ บอกแม่ว่าไปอยู่บ้านอากันสามคน ดีไหม"

    "ดีฮะ!" ยาฮีมรับอย่างดีใจ

    ท่านอาอูเนเก็นยิ้มกว้าง ยกมือขวาชูนิ้วก้อยขึ้นตรงหน้าเด็กชาย

    "งั้นสัญญาอย่างลูกผู้ชายนะ ว่าเราจะไปถามแม่ให้กับอาน่ะ"

    ยาฮีมเอานิ้วก้อยเล็กๆ ของตนเกี่ยวกับนิ้วใหญ่ที่กำไว้ได้มิด พร้อมกับพยักหน้าแข็งขัน

    "สัญญาฮะ"


    "ไม่ได้หรอก"

    "ทำไมล่ะฮะ!"

    "ก็ถ้าไปอยู่ที่นั่น ยาฮีมก็ไม่ได้เรียนหนังสือน่ะสิจ๊ะ" แม่พูดพลางพับเสื้อผ้าแยกไว้เป็นตั้งๆ โดยไม่หยุดมือ

    เป็นอย่างที่แม่บอกจริงๆ พวกญาติๆ ของ 'พ่อ' ยื่นคำขาดให้แม่เก็บข้าวของออกไปจากบ้านโดยเร็วที่สุด คือตอนบ่ายหลังกลับจากงานศพเลย แม้ยาฮีมจะไม่รู้ว่าจะมีใครอยู่ที่นี่ หรือดูแลไร่แทน 'พ่อ' ก็ตาม

    เด็กชายเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ไปอยู่ที่บ้านของท่านปู่โยเรอย่างที่คิดไว้ แต่ก็โล่งอกหน่อยๆ ที่ไม่ต้องไปอยู่บ้านของลุงเขย ทว่าไปอยู่กันสองคนที่บ้านหลังเก่าของตากับยาย ซึ่งถูกทิ้งร้างนับแต่เมื่อตาตายและยายย้ายไปอยู่กับป้าแทน

    "แต่แม่สอนข้าแทนได้นี่นา"

    "แม่ไม่ได้เขียนอ่านนาน ลืมไปหมดแล้ว ให้พระเถระสอนแทนดีกว่า"

    "แต่อยู่นั่นไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือก็ได้ฮะ" ยาฮีมยังแย้ง "ข้าจะเป็นพรานเหมือนท่านอาอูเนเก็น"

    "แต่เป็นพรานลำบากออก วันไหนล่าสัตว์ไม่ได้ก็อดกินนะ"

    "ไม่อดหรอกฮะ ท่านอาบอกว่าที่โน่นมีสัตว์เยอะแยะ ท่านอาจะสอนให้ข้าล่าเก่งๆ ด้วย"

    "แต่ล่าสัตว์ก็อันตรายนะ เกิดยาฮีมไปเจอเสือเจอหมาป่าขึ้นมาจะทำยังไง"

    "ท่านอาอูเนเก็นเคยฆ่าเสือได้นะฮะ"

    "เคยฆ่าได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะตลอดนี่จ๊ะ" แม่พับผ้าหมดแล้ว เริ่มหันมาเก็บข้าวของอย่างอื่นแทน "ดูอย่างท่านอาชินูยาสิ เก่งเหมือนกัน ยังโดนหมีทำร้ายจนเจ็บหนักขนาดนั้นได้เลย"

    "แต่...แต่..." ยาฮีมเริ่มนึกเหตุผลแย้งไม่ออก เลยพูดตรงๆ เสียเลย "แต่ข้าอยากไปอยู่กับท่านอาอูเนเก็น...ข้าอยากให้ท่านอาเป็นพ่อข้านี่นา!!"

    แม่หันขวับมามองเด็กชายด้วยสีหน้าตกใจ

    "ท่านอาบอกว่าจะเป็นพ่อให้ข้า ถ้าข้าขอให้แม่ไปที่บ้านท่านอาด้วยกันได้"

    "แล้วทำไมเขาถึงไม่มาถามแม่เองล่ะ" แม่ย้อนถามเสียงแข็งแบบที่ยาฮีมไม่เคยได้ยินมาก่อน "ทำไมต้องฝากยาฮีมมาด้วย"

    เด็กชายกระพริบตาปริบๆ นิ่งงันไป แม่เลยหันกลับมาพูดด้วยเสียงอ่อนลง

    "แม่อยากให้เขามาพูดกับแม่ก่อนน่ะ จะได้ตกลงรายละเอียดอะไรให้เรียบร้อย เขาคุยกับยาฮีมคนเดียวแบบนี้แม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย"

    "แล้วถ้าเขามาคุย แม่จะไปไหมฮะ"

    แม่เงียบไปอีกพักหนึ่ง แต่พอพูดอีกครั้งก็ไม่ได้ตอบคำถาม กลับบอกให้ยาฮีมช่วยหยิบของให้แทน


    แม่ใช้เวลาเก็บข้าวของไม่นานเลย เพราะของทั้งหมดที่ต้องเอาไปมีไม่มากนัก กระทั่งตอนท่านอาอูเนเก็นเข้ามาช่วยขนของ ยังอุทานว่า "มีแค่นี้เองรึ" ด้วยซ้ำ

    แม่คัดเอาไปเฉพาะเสื้อผ้าของทั้งสอง ฟูกหลังหนึ่ง หมอนสองใบกับผ้าห่มจากห้องนอนของยาฮีม ของเล่นกับอุปกรณ์การเรียนอย่างกระดานชนวน สมุดกับแท่งถ่าน เครื่องครัว หม้อกะทะ ถ้วยจานชามแบบเรียบๆ จำนวนพอประมาณ ทิ้งชุดเครื่องกระเบื้องสวยๆ ที่ 'พ่อ' บอกให้แม่นำมาใช้เวลามีแขกมาบ้านไว้ในตู้ และทิ้งเงินกับเครื่องประดับมีค่าทุกชิ้นที่ 'พ่อ' ซื้อให้ไว้โดยไม่หยิบออกจากลิ้นชักด้วยซ้ำ

    "ใครจะเอาไปใช้ก็แล้วแต่เขา เราไม่ได้ปอกลอกเอามาก็แล้วกัน" ยาฮีมแอบได้ยินแม่ทิ้งท้ายกับพวกมันเหมือนไม่เสียดายเลยสักนิด

    ท่านปู่โยเรให้ยืมเกวียนกับม้า ขนของไปที่บ้านหลังเก่า จากนั้นแม่กับท่านอาอูเนเก็นก็ใช้เวลาจนถึงย่ำค่ำทำความสะอาดและซ่อมแซมเครื่องเรือนไม้ของเก่าที่พังไปบางส่วน

    เด็กชายได้โอกาสบอกคำตอบกับท่านอาอูเนเก็นให้ชวนแม่เองก็ตอนนี้ แต่ตลอดเวลาที่ช่วยงานจนถึงตอนที่แม่ทำอาหารเลี้ยงเขาแล้วกินมื้อเย็นกันสามคน ถึงท่านอาอูเนเก็นจะพยายามหว่านล้อมอย่างไร แม่ก็ยังตอบแบ่งรับแบ่งสู้เช่นเคย ติดจะออกไปทางปฏิเสธมากกว่าด้วยซ้ำ

    "แต่เมื่อตอนนั้น เจ้ายังบอกให้ข้าพายาฮีมไปเลยนี่นา" ท่านอาอ้าง

    "ก็ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว" แม่แย้งเรียบๆ "ที่ตอนนั้นข้าบอกให้พายาฮีมไป ก็เพราะไม่อยากให้อยู่ใกล้กับยาซีนต่างหาก"

    "แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่อยากให้ยาฮีมไปล่ะ" ท่านอาถาม พอแม่เอาแต่ก้มหน้า เขี่ยอาหารในจานของตนนิ่งอยู่ เลยหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มก่อนเหมือนแก้ประหม่า

    ทันทีที่ท่านอาอูเนเก็นวางถ้วยลง แม่ก็ลุกขึ้นหยิบกาน้ำชามารินเติมในถ้วยให้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ขอ ท่านอาดูจะงงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรนอกจากตอบรับว่า "ขอบใจนะ"

    ทว่ายาฮีมรู้ดีว่าแม่ติดนิสัยมาจากตอนที่กินข้าวกับ 'พ่อ' ชาในถ้วย 'พ่อ' จะให้พร่องถึงครึ่งถ้วยไม่ได้ก่อนจบมื้ออาหาร มีบางครั้งที่แม่เผอเรอ 'พ่อ' จะแกล้งทำถ้วยชาล้ม หกรดผ้าปูโต๊ะ แล้วบ่นดังๆ ว่า "น้ำในถ้วยมันเหลือน้อยนักแหละนะ เลยถ่วงไม่อยู่"

    "ก็...ยาฮีมอยู่ที่นี่คงดีกว่า" แม่วางกาน้ำชาลง "เขาเกิดที่นี่ โตมาที่นี่ ให้ไปอยู่สมบุกสมบันแบบนั้นจะไหวหรือ"

    "ก็มีข้าอยู่ทั้งคนนี่" ท่านอาแย้ง "ถ้าไปอยู่ที่นั่นแล้ว ข้าจะดูแลเจ้ากับยาฮีมให้ดีที่สุด"

    "ถ้าอย่างนั้น...ข้านี่ล่ะจะเป็นปัญหายิ่งกว่า" แม่ถอนใจ "ข้าชินกับชีวิตที่นี่มากกว่ายาฮีมอีก จะยิ่งลำบากเจ้าเปล่าๆ"

    "เพื่อเจ้ากับลูก ให้ข้าลำบากบ้างเถอะ" ท่านอาอูเนเก็นพูดหนักแน่น "เจ้าลำบากคนเดียวมามากพอแล้ว"

    แม่ไม่ตอบว่าอะไร ก้มตากินอาหารไปตามเดิม

    "หรือถ้าเจ้าไม่อยากไป...ให้ข้ามาอยู่ที่นี่กับเจ้าแทน ดีไหม" ท่านอาเสนอ แต่แม่ก็ยังเงียบอยู่เหมือนเดิม ยาฮีมเสียอีกที่เป็นคนตอบแทน

    "ดีสิฮะ แม่ ท่านปู่ ท่านอาชินูยากับท่านอาอูเนเก็นจะได้อยู่ด้วยกันกับข้าที่นี่ทุกคนไง"

    "เห็นไหม ยาฮีมยังเห็นด้วยเลย" ท่านอาอูเนเก็นรีบรับอย่างดีใจ

    แม่นิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทว่าเปลี่ยนเป็นพูดอ้อมแอ้มแทนว่าอาหารในวันนี้ออกจะจืดไปหน่อย


    หลังจากวันนั้น ท่านอาอูเนเก็นเทียวมาเยี่ยมที่บ้านเก่าๆ เล็กๆ ทุกวัน บางวันก็เอาปลาหรือเนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้มาฝาก บางวันก็เป็นผลไม้หรือน้ำผึ้งป่า และที่ไม่มีวันขาดคือดอกไม้ป่าสวยๆ สักช่อหนึ่งเพื่อมาปักแจกันบนโต๊ะอาหารของแม่

    แม่ชวนท่านอาอูเนเก็นอยู่กินอาหารเย็นทุกครั้ง บางวันท่านอาอูเนเก็นก็พาท่านอาชินูยาที่มีผ้าพันแผลปิดเสียครึ่งหน้ามาด้วย ทีแรกยาฮีมกลัวๆ ไม่กล้ามองท่านอาชินูยาที่ 'หน้าหาย' ไปครึ่งหนึ่งเท่าใดนัก แต่พอพบว่าท่านอาชินูยายังใจดีเหมือนเดิมก็ค่อยๆ หายกลัวในที่สุด

    "ที่เสียดายที่สุดตอนรู้ว่าตาหายไปข้าง ก็คือปั้นตุ๊กตาม้าให้ยาฮีมอีกตัวไม่ได้นั่นแหละ" ท่านอาชินูยาเคยพูดติดตลกเหมือนอาการของตนเองไม่ได้หนักหนานัก

    "อ้าว...ยังมีตาอีกข้างหนึ่งอยู่ก็น่าจะปั้นได้ไม่ใช่รึ" ท่านอาอูเนเก็นทำเสียงสงสัย

    "ยาฮีมจะเอาม้าเป๋ไปรบได้ยังไง" ท่านอาชินูยาตอบเสียงเรียบตามเดิม

    แม่ถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก หัวเราะน้อยๆ กับมุขหน้าตายของท่านอา เสียงหัวเราะของแม่ใสอย่างที่ยาฮีมเคยได้ยินน้อยครั้งนัก

    "ดีแล้วล่ะค่ะที่ไม่ทำ สงสารม้าเป๋ออก"

    ไม่เพียงแต่เสียงหัวเราะของแม่ที่ใสขึ้น ยาฮีมยังรู้สึกเหมือนอาหารเย็น ไม่สิ อาหารทุกมื้ออร่อยขึ้นจากเมื่อครั้งกินข้าวกับ 'พ่อ' ที่บ้านหลังใหญ่อย่างเทียบกันไม่ได้ ถึงจะไม่มีเนื้อหรือผักดีๆ เหมือนสมัยที่ 'พ่อ' ยังอยู่ก็ตาม

    "ดินาห์ก็ขี้สงสารซะอย่างนี้" ท่านอาอูเนเก็นพูดพร้อมกับยักไหล่ "ตอนแรกๆ ที่รู้จักกัน ข้าเก็บดอกไม้ไปให้ แทนที่จะดีใจกลับงอนข้า บอกว่าสงสารดอกไม้เสียนี่"

    "ก็จริงนี่คะ" แม่รีบค้านด้วยหน้าตาจริงจัง "ดอกไม้ถูกเด็ดไปแล้ว กลับมาอยู่กับต้นอีกไม่ได้นี่นา"

    เสียงแกร๊งดังลั่นทำให้ยาฮีมเงยหน้าจากจานของตน พบว่าท่านอาอูเนเก็นนี่เองที่เป็นคนทำส้อมตกใส่จาน สีหน้าท่านอาดูเหมือนจะตกใจ แม้เด็กชายจะไม่รู้ว่าตกใจอะไร

    "ข...ขอโทษนะคะ" แม่ก้มหน้าลงพูดเจื่อนๆ "ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น"

    "ข้ารู้" ท่านอาอูเนเก็นยิ้มฝืดเฝือ "ข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก"

    ท่านอาวางส้อมหลบไว้ข้างๆ จานก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

    "ข้าอิ่มแล้ว ขอไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย"

    ลับเสียงฝีเท้าและเสียงปิดประตู แม่นั่งก้มหน้า คนซุปในถ้วยของตนหลายรอบโดยไม่มีทีท่าจะตัก ท่านอาชินูยาก็มองแม่นิ่ง ไม่กินอาหารต่อเหมือนกัน

    "ถ้าจะตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ทำให้เด็ดขาดไปเสียเลยดีกว่านะ" ท่านอาพูดเรียบๆ

    "ตัวข้าเองยังไม่รู้เลยนี่คะ" แม่ตอบเบาๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้น "ว่าจะตอบยังไงดี"

    "แล้วเจ้ารักเขาหรือเปล่าล่ะ"

    "ตอนนั้นข้ายังเด็ก...รักใครโดยไม่มีเหตุผลได้ง่ายดาย แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วนี่คะว่าแค่ความรักอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุข" แม่ถอนใจ "ผลจากเรื่องตอนนั้นเป็นยังไง ท่านก็รู้อยู่ไม่ใช่หรือ"

    ยาฮีมมองหน้าแม่ที ท่านอาชินูยาที ดูเหมือนทั้งสองจะลืมทั้งอาหารกับเขาไปเสียแล้ว

    "ข้ารู้ว่าอูเนเก็นใจร้อนไปหน่อย แต่เขาก็จริงจัง พึ่งพาได้ ที่สำคัญคือข้าไม่เคยเห็นเขาทุ่มเทให้ผู้หญิงคนไหนเลยนอกจากเจ้า"

    แม่วางมือจากช้อนซุป ลุกขึ้นแล้วชิดเก้าอี้ ก่อนจะก้าวไปที่ประตู

    "ข้าอิ่มแล้วเหมือนกัน จะไปตามเขานะคะ"

    พอเสียงประตูปิดดังไล่หลังแม่ ท่านอาชินูยาก็มองตามประตูที่ปิด ไม่มีทีท่าจะกินต่อ

    พอเห็นยาฮีมจ้องมองอยู่ ท่านอาเลยหันมาส่งยิ้มน้อยๆ ให้

    "ถ้ายังไม่อิ่มก็กินต่อนะ ไม่จำเป็นต้องรีบอิ่มตามพวกอาหรอก"

    ยาฮีมพยักหน้า ตักซุปเข้าปากเงียบๆ เวลากินข้าว เด็กชายหัดทำเองมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยวิ่งเล่นเลยเวลาหรืองอแงให้แม่ป้อนอย่างที่เด็กวัยเดียวกันบางคนยังทำอยู่

    จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นคงไม่ได้ เพราะเวลาอาหารแม่ต้องปรนนิบัติ 'พ่อ' ไม่ได้ใส่ใจเขา และถ้าเขาไม่กินอาหารด้วยตนเองให้เรียบร้อย 'พ่อ' จะตีเอาแรงๆ จนเหมือนความกลัวถูกลงโทษบังคับให้เขาต้องรีบโตกว่าวัย แต่ยาฮีมก็อดปลื้มไม่ได้ เวลามีแขกมาร่วมโต๊ะอาหารแล้วชมว่าเขาเก่งที่กินข้าวเองคนเดียวได้ทั้งๆ ที่เด็กขนาดนี้

    "ท่านอาอูเนเก็นโกรธแม่เหรอฮะ" เด็กชายถามอย่างสงสัย

    "เปล่าหรอก" ท่านอาชินูยารีบปฏิเสธ "เขาบอกว่าจะไปสูดอากาศนี่ ไม่ได้โกรธสักหน่อย"

    "อืม..." ยาฮีมเริ่มคนซุปเล่นตามแม่บ้าง

    "ยาฮีมชอบท่านอาอูเนเก็นไหม" อีกฝ่ายถามต่อ

    "ชอบฮะ" เด็กชายพยักหน้ารับทันที "ท่านอาอูเนเก็นใจดี"

    "แล้วถ้าเขามาอยู่ด้วยกับแม่ กับยาฮีม ยาฮีมจะว่ายังไง"

    "ดีที่สุดเลยฮะ!" ยาฮีมตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง แต่ยังถามต่อ "แล้วท่านอาชินูยาไม่อยู่ด้วยเหรอฮะ"

    "อาต้องกลับบ้านอา คงเร็วๆ นี้ล่ะ ลูกๆ อารออาอยู่" ท่านอาชินูยาพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ "ลูกคนโตของอาคงอายุน้อยกว่ายาฮีมนิดหน่อย ส่วนคนเล็กตอนนี้น่าจะสักหกเจ็ดเดือน เป็นผู้ชายทั้งคู่ ถ้าแม่ของยาฮีมตามท่านอาอูเนเก็นไปที่บ้านอา จะได้เล่นเป็นเพื่อนกัน"

    ชายหนุ่มผู้มองแสงตะเกียงในยามนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้พบลูกของท่านอาชินูยาจริงๆ แม้จะไม่ได้ไปที่บ้านของท่านอา และพบในสภาพการณ์อันไม่ชวนให้น่ายินดีเลยแม้แต่น้อย แต่เด็กชายในวันนั้นอดไม่ได้ที่จะนึกภาพของลูกๆ ของท่านอาที่ใจดีและเอ็นดูตนมากขนาดนั้น และอยากพบกับพวกเขาเหลือเกิน

- To be continued -
Part III - Departures


Note: ตอนนี้ยาซีนก็หมดบทซะที ซึ่งนับเป็นการดีสำหรับผม เพราะเจ้านี่เป็นตัวละครที่นำความเครียดมาสู่ผมอย่างยิ่งยวดจริงๆ

อันที่จริงผมคิดไว้ว่าตอนยาซีนกับดินาห์แต่งงานกันใหม่ๆ ยาซีนก็ยังไม่ทำตัวเลวขนาดนี้ ถึงไม่ได้รัก ก็ออกจะเห่อภรรยาสาวสวยที่แต่งกันไม่ทันไรก็จะมีทายาทที่ตัวเองหวังมานานแล้วด้วยซ้ำ แต่พอยาฮีมเกิดมาและโตขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาเริ่มฟ้องว่าไม่เหมือนตัว บวกกับที่ได้ยินพวกชาวบ้านนินทากันเรื่องดินาห์กับคนเผ่าอัสลานที่เคยมาที่นี่ก็เลยเริ่มกินเหล้าจัด เริ่มใช้ความรุนแรง ทางด้านดินาห์ โดนถามโดนขู่เข็ญยังไงก็ยังไม่ยอมบอกว่ายาฮีมเป็นลูกใคร ยาซีนเลยยิ่งโกรธดินาห์และพาลกับยาฮีมมากไปกว่าเดิม จนมาถึงจุดแตกหักแบบนี้ (ซึ่งผมก็อยากเขียน รวมถึงเหตุการณ์และความรู้สึกของตัวละครอื่นๆ ทั้งดินาห์ อูเนเก็น กับชินูยาด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เขียนไหม เรื่องนี้แตกแขนงไปเป็นเรื่องย่อยๆ อีกเรื่องหนึ่งได้เลยนะนี่ ^^;;; )

แต่ถึงจะเข้าใจเหตุผล "พ่อเลี้ยง" เจ้าของไร่คนนี้ก็ยังไม่น่าเห็นใจหรือให้อภัยอยู่ดีนั่นแหละนะ... - -

ตอนนี้เราก็ได้เห็นบทของอูเนเก็นกับชินูยามากขึ้น ผมเขียนแล้วเกิดความรู้สึกว่าอูเนเก็นมีนิสัยคล้ายคนจรอยู่ คือยังมีความเป็นเด็กเลือดร้อนคล้ายกัน ^^;;; หมอนี้ออกจะแค้นแรงกว่าด้วยซ้ำ (ทั้งๆ ที่อายุมากกว่า) 

การรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับแม่โดยเข้าทางลูก เอา "ของเล่น" มาล่อเด็ก เป็นฉากใสๆ ของยาฮีมที่คลายเครียดให้ผมได้มากทีเดียว

ถ้าชินูยามารู้เข้าว่าสาวที่ลูกชายไปชอบเข้าเป็นลูกสาวเพื่อนตัวเอง คงอึ้งไปพักใหญ่ แล้วก็ปลงอนิจจังว่ามันเป็นกรรมเก่าที่ดันไปมีส่วนในงานล่าหมีมรณะครั้งนั้นด้วยแน่แท้ - -