Yaheem's Side Story
Lamp

Part III - Departures

    ไม่นานก็ถึงวันที่แม่กับท่านอาอูเนเก็นพายาฮีมไปส่งท่านอาชินูยาออกเดินทางที่หน้าบ้านของท่านปู่โยเร แต่หลังจากนั้น ท่านอาอูเนเก็นก็ยังอยู่ที่บ้านของท่านปู่ และแวะมาเยี่ยมแม่กับยาฮีมพร้อมของฝากทุกวันเหมือนเดิม

    ช่วงครึ่งหลังของฤดูใบไม้ผลิย่างเข้าต้นหน้าร้อน อากาศทั้งภายนอกและภายในบ้านไม้หลังเล็กอบอ้าวพอกัน ผิดกับบ้านหลังใหญ่ของ 'พ่อ' ที่เย็นอยู่ตลอดเวลาเพราะผนังด้านนอกก่อด้วยอิฐ หลังจากไว้ทุกข์ให้ 'พ่อ' เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว แม่มักแต่งกายด้วยชุดกระโปรงผ้าฝ้ายเนื้อบางสีอ่อน เส้นผมดำยาวมัดรวบไว้ด้านหลังด้วยผ้าเช็ดหน้าที่สีเข้ากันสักผืน ท่านอาอูเนเก็นชมบ่อยๆ ว่าแม่แต่งตัวเรียบๆ อย่างนี้ก็ดูสวยไปอีกแบบ และแม่ก็จะก้มหน้าตอบเขินๆ ว่าท่านอาก็แค่ยอเท่านั้นหรอก ส่วนยาฮีมเห็นว่าแม่สวยกว่าตอนที่อยู่กับพ่อมากนัก ถึงจะไม่มีใครพูดชมเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับในตัวแม่ ให้แม่ตอบว่าเป็นของที่ 'พ่อ' ซื้อให้ก็ตาม

    อันที่จริงไม่ใช่แค่ไม่มีใครชม เด็กชายเริ่มรู้สึกว่าชาวบ้านไม่ค่อยทักทายแม่เวลาไปรับส่งเขาที่อาราม กระทั่งป้ายังพูดกับแม่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นว่าตอนนี้ยายอาการทรุดลงกว่าเดิมมาก

    "แต่เจ้ากับลูกไม่ต้องไปเยี่ยมหรอก แม่ไม่อยากพบหน้า บอกว่าถึงตายก็ไม่ต้องมาฝังผีด้วยซ้ำ" ป้าบอกด้วยสีหน้าเฉยชา

    ถึงกระนั้น แม่ก็ยังเอาเสื้อผ้าสีดำที่ยาฮีมสวมเมื่อครั้งงานศพตาไปขยายแก้ และเอาเสื้อผ้าเก่าๆ ของยาฮีมที่ไม่ได้ใส่บ่อยนักไปย้อมสีดำเตรียมไว้ล่วงหน้า ตอนไปงานศพของยายเขาจึงมีชุดสีดำใส่เหมือนคนอื่น

    ยายเสียหลัง 'พ่อ' ได้ไม่ถึงเดือน เด็กชายแอบได้ยินลุงเขยบ่นว่ายายเอาแต่คร่ำครวญเสียดายที่ลูกเขยคนรวยคนดีตายจากไป จนไม่ยอมกินยา หรือกระทั่งกินข้าวกินน้ำอีก

    ยาฮีมไพล่นึกถึงสุนัขเลี้ยงแกะสีเทาตัวใหญ่ของตา ซึ่งเขาจำได้เลือนรางเต็มทีว่ามันซึมตายตามตาหลังจากเสียไปไม่กี่วัน แต่พอเขาบอกแม่ว่ายายตายเหมือนมันเลย ก็ถูกแม่ตีแขนเบาๆ และห้ามว่าอย่าพูด

    งานครั้งนั้นก็เหมือนครั้ง 'พ่อ' มีการหย่อนโลงลงหลุม พระเถระสวดและพรมน้ำมนต์ จากนั้นก็มีการทิ้งดอกไม้ เริ่มจากครอบครัวของลุงเขยกับป้า

    แต่ป้าไม่ยอมให้แม่กับเขาได้ทิ้งดอกไม้ให้ยาย

    "ได้ดอกไม้ที่ติดรอยมือลูกอย่างแก...แม่คงไม่มีวันนอนตายตาหลับ" ป้าพูดเบาๆ ขณะที่แม่ยื่นมือไปรับดอกไม้เก้อ พอป้าเดินจากไป แม่เลยได้แต่จูงมือเขาไปยืนก้มหน้าอยู่ห่างๆ บริเวณหลุม ปรายตามองชาวบ้านทุกคนทิ้งดอกไม้ตามธรรมเนียมจนหมดและฝังดินกลบ

    นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ยาฮีมได้ยินป้าพูดกับแม่ และเป็นประโยคสุดท้ายที่มีคนในบ้านนั้นพูดกับแม่ด้วยเช่นกัน

    แต่แม่กับยาฮีมก็แต่งชุดไว้ทุกข์ให้ยายครบตามกำหนดหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้นแต่ละวันก็ดำเนินไปแทบเหมือนเดิม แม่รับส่งเขาไปเรียนที่อารามทุกวัน ทว่าที่แตกต่างไปคือท่านอาอูเนเก็นไม่ได้แวะมาหาทุกวัน เหมือนจะมาหาวันเว้นวันหรือสองสามวันครั้งมากกว่า

    แม่ถึงกับถือตะเกียงออกไปคอยหน้าบ้านจนพลบค่ำในวันแรกที่ท่านอาอูเนเก็นไม่ได้มากินอาหารเย็นด้วย จนเห็นว่าท่านอาคงไม่มาแน่ๆ แล้วถึงได้กลับเข้าบ้านมากินข้าวกับยาฮีมแค่สองคน

    แต่วันต่อมา ท่านอาอูเนเก็นก็มาพร้อมกับของฝากจากป่าเยอะกว่าเดิม เหมือนจะชดเชยเมื่อวานที่หายไป

    "ทำไมเมื่อวานท่านอาไม่มาล่ะฮะ" เด็กชายรีบถาม ท่านอาช้อนตัวเขาขึ้นนั่งบนตักก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ

    "อามีธุระนิดหน่อยน่ะ ขอโทษนะ" ท้ายประโยค ท่านอาปรายตามองแม่ที่ยังทำอาหารง่วนอยู่หน้าเตา ไม่ยอมมองตั้งแต่ตอนที่ยาฮีมเปิดประตูให้เขาเข้ามาด้วยซ้ำ

    "ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะบอกกันหน่อยนี่คะ" แม่พูดเรียบๆ โดยไม่หันหน้ามา "ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้ นึกจะมาก็มา นึกจะไม่มาก็ไม่บอก"

    "ข้าขอโทษ" ท่านอาอูเนเก็นพูด "เอาเป็นว่าช่วงนี้ข้าอาจมาไม่ได้บ่อยเท่าเดิม แต่จะพยายามบอกไว้ก่อนแล้วกันว่าวันไหนมาไม่ได้"

    ท่านอาทำตามที่พูดไว้ข้อหลังได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่แม่ก็ยังต้อนรับท่านอาโดยไม่ติดใจจะซักถามอะไร ยาฮีมเสียอีกที่กลั้นความสงสัยไม่ได้ ตอนที่ท่านอาอูเนเก็นชวนเขาไปดูดาวนอกบ้านขณะที่แม่ล้างจานอยู่ เขาเลยถือโอกาสถาม

    "ทำไมเดี๋ยวนี้ท่านอาไม่มาทุกวันล่ะฮะ"

    "ถ้าอาบอก ยาฮีมสัญญาได้ไหมว่าจะไม่บอกแม่"

    ความอยากรู้ทำให้เด็กชายรีบพยักหน้า

    "สัญญาฮะ"

    ท่านอาอูเนเก็นคุกเข่าลงกระซิบข้างหูเด็กชาย

    "อาไปเจอที่เหมาะๆ แถวชายป่าริมหมู่บ้านใกล้ๆ นี่ กำลังถางที่เตรียมสร้างบ้านใหม่ให้เราสามคนอยู่ อาอยากให้แม่เราแปลกใจ"

    "บ้านแบบท่านปู่น่ะเหรอฮะ!"

    "ฮื่อ...ถ้ายาฮีมชอบแบบนั้น อาจะพยายามทำให้เหมือนบ้านของท่านปู่เลย"

    "ดีฮะ" เด็กชายพยักหน้ารับ

    "แต่ยาฮีมอย่าเพิ่งบอกแม่นะ ไว้บ้านเสร็จแล้ว อาจะพาแม่กับยาฮีมไปดูเอง"

    ทั้งสองคนเกี่ยวก้อยและยิ้มให้กันกับสัญญาครั้งที่สอง ซึ่งเด็กชายรักษาไว้เช่นเดียวกับสัญญาครั้งแรก

    ทว่านับจนวันนี้ ยาฮีมก็ไม่ได้ไปเห็นบ้านหลังนั้น อันที่จริงชายหนุ่มแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเกือบมีโอกาสเติบโตในบ้านอีกหลังนอกหมู่บ้านแห่งนี้

    และถ้ามีโอกาสเช่นนั้นจริง เขาก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นทุกวันนี้


    เสียงเม็ดฝนสาดซ่า กับกบร้องระงมปลุกเด็กชายให้ตื่นขึ้น มือป่ายปะไปข้างๆ แต่ไม่พบความอบอุ่นที่น่าจะพบ

    ยาฮีมหันหน้าไปมองอีกฟากเตียง พบว่าแม่ไม่ได้อยู่ข้างๆ เขา ในห้องนอนเล็กๆ ที่ปิดหน้าต่างไว้มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น

    พอค่อยๆ นึก ยาฮีมก็จำได้ว่าหลังเสร็จงานเก็บโต๊ะและล้างจาน แม่ ท่านอาอูเนเก็น กับเขามานั่งกันหน้าเตาผิง ขณะที่ฝนพายุฤดูร้อนตกอยู่ด้านนอก เขานอนหนุนตักแม่ ฟังท่านอาเล่านิทานจนเคลิ้มๆ หลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่ในห้องตนเองแล้ว

    แต่แม่อยู่ไหน

    สงสัยคงกำลังคุยกับท่านอาอูเนเก็นอยู่ข้างนอก

    เด็กชายลุกจากเตียง เดินไปที่ประตู แต่พอจะเปิดก็พบว่ามันถูกลงกลอนไว้

    ยาฮีมใจร่วงวูบ แม่หายไปไหน แล้วทำไมเขาถึงถูกขังไว้อีกครั้งล่ะ

    ...เหมือนเมื่อตอนที่ 'พ่อ' ยังอยู่...

    เด็กชายเริ่มจับเสียงบางอย่างได้นอกจากเสียงสัตว์กลางคืนภายนอกบ้าน จึงได้ปราดไปที่ต้นเสียง ซึ่งก็คือผนังห้องด้านหนึ่ง

    รู้สึกฟากตรงข้ามจะเป็นห้องนอนของตากับยาย ติดกับห้องนอนของแม่กับป้าที่แม่เลือกให้ทั้งสองพักด้วยกัน แต่ทำไมแม่ถึงไปนอนห้องนั้นแล้วทิ้งเขาไว้คนเดียวกัน

    ยาฮีมแนบหูลงบนผนังไม้แล้วก็เบิกตาโพลง

    เสียงแบบนั้นอีกแล้ว...

    เสียงของแม่กับ 'พ่อ'...

    ไม่สิ ไม่ใช่ ไม่ใช่เสียงของพ่อ แต่เป็นเสียงท่านอาอูเนเก็นต่างหาก

    เสียงเหล่านั้นฟังทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างออกไป แม่ไม่ได้กรีดร้องหรือสะอื้น ท่านอาอูเนเก็นไม่ได้ตะคอกใส่หน้าแม่เหมือน 'พ่อ' ทั้งสองพูดคุยกันแผ่วเบาจนยาฮีมฟังไม่ออก บางครั้งก็มีเสียงคล้ายทอดถอนใจ

    นี่มันอะไรกัน

    เด็กชายทิ้งตัวลงนั่งข้างผนังห้อง ไม่รู้นานเท่าใด เสียงเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นความเงียบ และจากความเงียบก็ได้ยินเสียงท่านอาอูเนเก็นพูด ดังขึ้นพอให้จับใจความได้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ

    "ข้าต้องไปแล้ว"

    "ฝนยังตกอยู่เลย ค้างที่นี่เถอะ" แม่ตอบด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน แต่ฟังอ่อนหวาน ไม่ใช่ด้วยความกลัวเหมือนที่พูดกับ 'พ่อ' "อยู่กับข้าจนถึงเช้าแล้วค่อยไปไม่ได้หรือ"

    "ข้าว่ามัน...ไม่เหมาะนักนะ"

    "ช่างปะไร พวกเขาเห็นข้าเป็นผู้หญิงเลวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว" แม่แย้งด้วยเสียงที่กลับขื่น "ถึงข้าจะทำตามที่แม่บอก กลับมาทำตัวเป็นลูกสาวที่ดี แต่งงานกับคนที่พ่อแม่หามาให้ แต่งงานไปแล้วก็พยายามทำตัวเป็นภรรยาที่ดีแล้วก็เถอะ ดูสิ...ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทุกอย่างที่ข้าพยายามทำลงไป"

    "...ข้าขอโทษ"

    "ถ้าอยากขอโทษ...แล้วทำไมอยู่กับข้านานกว่านี้ไม่ได้"

    ทั้งสองเงียบกันไปนาน จนกระทั่งท่านอาอูเนเก็นพูดขึ้นช้าๆ

    "ยังไม่ถึงเวลา"

    "แล้วทำไมตอนนั้นท่านถึงไม่พูดคำนี้" เสียงของแม่เริ่มสั่นเครือ "...ก่อนที่จะได้ตัวข้า กระทั่งตอนนี้...ท่านก็ยังทำเหมือนกับข้าไร้ค่า ไม่ต่างจากตอนนั้นเลยสักนิด"

    "ข้าไม่เคยเห็นว่าเจ้าไร้ค่าเลยนะ"

    "กระทั่งจะอยู่ด้วยกันยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ให้ใครรู้...แบบนี้แล้วท่านยังจะตีค่าข้ามากไปกว่า...กว่า..." แม่พูดได้เท่านี้ก็สะอื้นออกมาโดยไม่พูดต่อ

    "ดินาห์ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นอะไรก็ตามที่เจ้านึกเลยจริงๆ" ท่านอาอูเนเก็นพูดเสียงอ่อนโยน "ก็บอกแล้วนี่นาว่าข้ารักเจ้า ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากอยู่กินกับเจ้าอย่างเปิดเผย แต่ตอนนี้เรายังทำอย่างนั้นไม่ได้"

    แม่ไม่ตอบว่าอะไร เอาแต่ร้องไห้

    "ข้าขอโทษ"

    "ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้ทุกครั้ง" แม่พูดพลางร้องไห้พลาง "ทำอะไรลงไปแล้วก็มาขอโทษทีหลัง...ทั้งๆ ที่คำว่า 'ขอโทษ' แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อย่างนี้คำที่พูดจะมีความหมายอะไร"

    "ดินาห์ อย่าโกรธข้าเลย--"

    "โกรธท่าน ข้าน่ะเหรอโกรธท่าน ข้าโกรธตัวเองต่างหาก โกรธตัวเองที่หลงเชื่อผู้ชายคนนึงครั้งแล้วครั้งเล่า เจ็บแล้วไม่จำมาตลอด ปล่อยให้ตัวเองท้องขึ้นมา ปล่อยให้พ่อแม่จัดการหาสามีให้ ตอนนี้ก็ยังปล่อยให้ญาติพี่น้องตัดขาด ปล่อยให้คนอื่นๆ นินทาว่าข้าเป็นหญิงร่าน...คบชู้สู่ชาย...ยุชู้ให้ฆ่าผัวอย่างทุกวันนี้"

    "แต่เราสองคนก็รู้อยู่แก่ใจนี่ว่าไม่เป็นอย่างนั้น ข้าก็แค่จะมาเยี่ยมเจ้ากับลูก ถ้ามันไม่ทำหยาบช้ากับเจ้าถึงขนาดนั้น ข้าก็ไม่เอาเรื่องมันหรอก"

    "แต่ถึงพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อข้า...กระทั่งแม่แท้ๆ ของข้ายังเชื่อเงินของเขามากกว่าคำพูดของลูกตัวเองอีก ต่อให้ข้าเอาแผลเต็มตัวไปให้คนทั้งหมู่บ้านดู พวกเขาก็คงบอกว่า 'สมควรแล้ว เมียทำตัวไม่ดี ผัวก็มีสิทธิ์สั่งสอนเป็นธรรมดา' ก็เท่านั้นเอง" แม่ยิ่งพูดเสียงดัง ละล่ำละลักขึ้น "แล้วอย่างนี้จะให้ข้าสนพวกเขาอีกทำไม ถึงท่านย้ายมาอยู่กับข้าเสียเลย...มันก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว"

    "แล้วยาฮีมล่ะ"

    หลังคำถามนั้นคือความเงียบครู่หนึ่ง ก่อนท่านอาอูเนเก็นจะพูดต่อช้าๆ

    "ถ้ามีกันแค่เราสองคน ข้าคงจะพาเจ้าไปที่อื่นแบบไม่สนใจใครแล้ว แต่ข้าไม่อยากให้ลูกของเราต้องลำบาก แล้วก็ไม่อยากให้แกได้ยินคนว่าพ่อแม่เป็นคนเลวหรอกนะ ตราบใดที่ยังไม่รู้แน่ชัด พวกชาวบ้านก็จะได้แต่ซุบซิบนินทาไปตามเรื่อง แต่ถ้าเราเปิดเผยเรื่องของเรา...คนที่ต้องแบกรับความผิดของเราทั้งสองคนในสายตาของพวกนั้นก็คือยาฮีมนั่นแหละ"

    "ถ้าอย่างนั้น...ทำไมท่านไม่แต่งงานกับข้าไปเลยล่ะ เราไปที่อารามกันพรุ่งนี้เช้า ขอให้พระเถระทำพิธีให้ตอนนั้นเลยก็ได้ ข้าจะได้เป็นภรรยาท่านถูกต้องตามธรรมเนียม แล้วยาฮีมจะได้เรียกท่านว่า 'พ่อ' ได้เสียที" 

    "ไม่ได้!" ท่านอาพูดเสียงแข็ง ก่อนจะนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยเสียงอ่อนลง "ข้าแต่งงานกับเจ้าแน่ แต่ไม่ใช่ที่หมู่บ้านนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้"

    ทั้งสองเงียบกันไปนาน ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าถี่ๆ บนพื้นไม้ และเสียงพูดของแม่

    "ท่านกลับไปเถอะ กลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้ไม่ต้องมาอีกหรอก"

    "ดินาห์...นี่เจ้า--"

    "ข้าน่าจะเปิดประตูรับท่านเข้าบ้านหลังจากเราแต่งงานกันแล้วเท่านั้น ข้ามันโง่เอง"

    "ที่ว่าจะแต่งงานกับเจ้า...ข้าพูดจริงๆ ไม่ได้ขอไปที ให้สัญญาก็ได้ ข้าจะแต่งงานกับเจ้าเร็วๆ นี้ล่ะ"

    " 'เร็วๆ นี้' ของท่านคือเมื่อไร" แม่ย้อนถามเสียงสั่น " 'เร็วๆ นี้' ของท่านคราวนั้น...นานถึงแปดเดือนเชียวนะ นานจนข้าจะคลอดลูกอยู่รอมร่อแล้ว"

    "ดินาห์...ข้า--"

    "ไม่ต้องขอโทษอีกหรอก คำว่าขอโทษมันช่วยอะไรไม่ได้ ข้าก็บอกแล้วนี่" แม่บังคับเสียงให้เรียบขึ้น "ขอบอกไว้ก่อนนะ อูเนเก็น ตอนนั้นข้าแต่งงานก็เพื่อยาฮีม...ใช่แล้ว...เพื่อลูกของข้า...ไม่ใช่เพื่อเอาตัวรอดหรือเพื่อสนองความต้องการเขยรวยของพ่อแม่ทั้งนั้น

    "แล้วตอนนี้ ถ้าข้าจะแต่งงานอีกครั้ง...กับท่าน...ก็เพื่อยาฮีมจะได้มีพ่อ...เหมือนกับครั้งนั้นนั่นล่ะ ไม่ใช่เพราะความรักแบบเด็กๆ ที่ข้าเคยมีหรอก

    "เพราะฉะนั้น พอทีเถอะ ความสัมพันธ์แบบนี้...นอกเสียจากเราจะแต่งงานกัน อย่าให้ข้าต้องเป็นคนเลว มองหน้าลูกไม่ติดอีกเลยที่ทำตัว...ผิดจารีตประเพณีอย่างนี้"

    "ได้ ข้าเข้าใจ" ท่านอาอูเนเก็นตอบเสียงเรียบ "ข้าผิดเองที่ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ เราห่างกันมานาน...นานเหลือเกิน นานจนข้าไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเก่าได้ ข้าก็เลย..."

    "จะกลับก็กลับเถอะค่ะ" แม่ตัดบทกลางคันเมื่ออีกฝ่ายทิ้งช่วงไปนาน เสียงพูดเรียบเป็นพิธีรีตอง "ข้าจะเข้าไปดูยาฮีมเสียที ทิ้งแกไว้นานแล้วเป็นห่วง"

    พอมีเสียงประตูห้องนั้นเปิด ยาฮีมก็ผุดลุกขึ้น ปราดกลับไปที่เตียง เอาผ้าห่มคลุมตัวไว้เหมือนเขานอนหลับมาตลอด แต่ก็อีกพักใหญ่ทีเดียวกว่าแม่จะปลดกลอน และเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของเขา แม่คงไปส่งท่านอาอูเนเก็นที่หน้าประตูบ้านก่อน

    เด็กชายนอนตะแคง หันหน้าเข้าหาประตู แอบหรี่ตามองตอนแม่ถือตะเกียงเดินเข้ามาในห้อง

    แม่ทรุดกายลงนั่งหันหลังให้กับเขา ปาดน้ำตาพร้อมกับสะอื้น และดับตะเกียงก่อนจะเอนกายลงนอนโดยหันหลังให้กับเด็กชาย ไม่ได้โอบกอดเขาไว้เหมือนเช่นทุกครั้ง

    ยาฮีมเองก็ทำเหมือนเคย นิ่งเงียบทำเป็นหลับ ไม่ได้ซักถามเหตุผลที่แม่ร้องไห้ หรือความหมายของเรื่องที่แม่กับท่านอาอูเนเก็นพูดเลยสักนิด


    ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องอย่างหนึ่งตอนไปเรียนหนังสือที่อาราม ยาฮีมก็คงไม่นึกถึงเรื่องที่แม่พูดเมื่อคืนมากและเร็วนัก แต่เมื่อมีเหตุมากระตุ้น บวกกับท่านอาอูเนเก็นมารับเขาแทนแม่ เขาเลยไม่ยอมให้ท่านอาจูงมือ เอาแต่เดินก้มหน้ามาตลอดทางตั้งแต่ออกจากอาราม

    "เป็นอะไรหรือเปล่ายาฮีม วันนี้เงียบเชียว" ท่านอาถามด้วยเสียงเป็นห่วง

    "ข้ารู้แล้วว่าคำว่าชู้แปลว่าอะไร"

    ท่านอานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามต่ออย่างตกใจ

    "เราไปถามใครมา"

    "ไม่ได้ถาม แต่วันนี้มีเด็กคนนึงที่อารามบอกข้า ว่าพ่อของเขาบอกว่าชู้เป็นคนไม่ดี เป็นคนที่แย่งภรรยาของคนอื่น" ยาฮีมตอบเสียงแทบสะบัด "...อย่างท่านอานั่นแหละ!"

    "ยาฮีม...อาไม่ได้แย่งแม่เราจาก...พ่อของเราเลยนะ อย่างนี้จะเรียกว่าอาเป็นชู้ได้ยังไง"

    "แต่ท่านอาก็เป็นคนไม่ดีเหมือนพ่อนี่นา"

    "นี่เราเอาอะไรมาพูด"

    "ก็เมื่อคืนท่านอาทำให้แม่ร้องไห้...ข้ารู้นะ"

    "ยาฮีม!" ท่านอาเรียกอย่างตกใจ "ตอนนั้นเรา...ตื่นอยู่เหรอ"

    เด็กชายพยักหน้า แต่ไม่ยอมหันกลับ

    "แม่เขาโกรธอานิดหน่อย อาไม่ดีเอง แต่อาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้แม่เขาร้องไห้เลยนะ"

    "ตอนนั้น...แม่ก็บอกว่าพ่อไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน" ยิ่งพูด ยาฮีมก็อดนึกถึงภาพติดตาเมื่อครั้งนั้นไม่ได้ มันทำให้ตาของเขาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาเสียเดี๋ยวนี้ "ที่พ่อทำร้ายแม่ ท่านอาก็ทำร้ายแม่เหมือนกันเหรอ"

    ท่านอาอูเนเก็นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามช้าๆ

    "ทำไมถึงคิดว่าอาทำร้ายแม่ล่ะ"

    "ก็...ก็เวลาที่พ่อทำร้ายแม่ พ่อจะขังข้าไว้ในห้อง แล้วพอแม่กลับมา...แม่ก็จะร้องไห้"

    "ยาฮีม ตรงนี้แดดแรง ไปคุยกันในที่ร่มๆ ดีกว่าไหม" ท่านอาพูดพร้อมกับจับมือเด็กชาย ยาฮีมไม่ตอบอะไร แต่ก็ยอมเดินตามไปที่ใต้ต้นไม้ข้างทางแต่โดยดี

    จากนั้นท่านอาอูเนเก็นจึงได้คุกเข่าลงตรงหน้า พยายามสบตากับเด็กชายที่ก้มหน้านิ่ง

    "อาไม่ได้ทำร้ายแม่ของยาฮีมจริงๆ นะ"

    "ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงต้องขังข้าไว้ตอนคุยกับแม่ด้วยล่ะ"

    ท่านอานิ่งอึ้งไปอีกครู่ กว่าจะตอบ

    "เพราะเรื่องบางอย่างของผู้ใหญ่...เด็กยังไม่ควรรู้น่ะสิ"

    "เหมือนอย่างที่พ่อทำกับแม่น่ะเหรอฮะ" ยาฮีมถามเสียงสั่น สายตาหวาดหวั่น "แม่ถึงได้บอกให้ข้ากลับห้อง ห้ามไม่ให้ข้ามอง ไม่ให้ข้าฟัง"

    ท่านอาถอนใจยาว

    "ยาฮีม อาไม่ใช่คนอธิบายเก่ง เรื่องแบบนี้อาไม่รู้จะอธิบายยังไงด้วยซ้ำ" ท่านอาเงียบไปสักพักเหมือนกับจะเรียบเรียงคำพูด "แต่เรื่องบางเรื่อง...เป็นได้ทั้งการทำร้าย แล้วก็แสดงความรัก ถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจ เหมือนที่...พ่อของยาฮีมทำลงไป มันก็คือการทำร้าย แต่ถ้าทั้งสองคนเต็มใจ มันก็คือการแสดงความรัก อารักแม่ของยาฮีมจริงๆ นะ"

    "แต่ถ้ารัก...ทำไมถึงต้องทำให้แม่เจ็บล่ะฮะ ถึงแม่จะบอกว่าไม่เจ็บ...แต่แม่ต้องเจ็บแน่ๆ ไม่อย่างนั้นแม่จะร้องไห้ทำไม"

    "แม่เขาไม่ได้เจ็บหรอก ที่ร้องไห้เพราะแม่เขาโกรธอาเรื่องอื่นต่างหาก ร้องไห้ไม่ได้หมายความว่าเจ็บอย่างเดียวนี่นา"

    "แล้วแม่โกรธอาเรื่องอะไร"

    "แม่เขาอยากให้อาแต่งงานด้วย แต่ตอนนี้อายังไม่พร้อม"

    "ทำไมล่ะฮะ"

    "ก็อากำลังจัดการเรื่องบ้านอยู่ไง" ท่านอาวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของเด็กชาย "รออีกนิดเดียวนะ ยาฮีม อากำลังเร่งมืออยู่ ไม่นานนี้รับรองว่าบ้านใหม่ของเราต้องเสร็จแน่ๆ แล้วตอนนั้นอาจะแต่งงานกับแม่ของยาฮีม แล้วเราก็จะได้อยู่ด้วยกันสามคนแล้ว อาสัญญานะ"

    ยาฮีมยอมสบตากับท่านอาอูเนเก็น อยากเชื่อเหลือเกินว่าท่านอาเป็นคนดี ท่านอาไม่ได้ทำร้ายแม่ ท่านอารักแม่จริงๆ และท่านอาจะพาแม่กับเขาไปจากที่นี่ ไปอยู่ด้วยกันที่อื่นที่ดีกว่าบ้านหลังนี้

    แต่สุดท้าย ท่านอาอูเนเก็นก็กลับทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้ยาฮีมไม่มีวันให้อภัยเขาได้เลยชั่วชีวิต โดยไม่มีกระทั่งคำแก้ตัวหรือข้ออธิบายใดๆ ทั้งสิ้น


    ถึงวันนั้นยาฮีมจะเห็นแม่ร้องไห้ ในวันต่อๆ มา แม่ก็ยังต้อนรับท่านอาอูเนเก็นเข้าบ้านเช่นเคยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    อันที่จริงดูแม่กับท่านอาอูเนเก็นจะสนิทกันมากกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ ทั้งสองหัวเราะร่าเริงกันมากขึ้น ซ้ำท่านอาอูเนเก็นยังจับมือแม่ หรือกระทั่งโอบไหล่เป็นบางครั้ง ในทีแรกเด็กชายทั้งรู้สึกกลัวและหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะภาพท่านอาอูเนเก็นทำแบบนั้นทำให้เขานึกถึงตอนที่ 'พ่อ' ยังอยู่ และยิ่งตอกย้ำให้เขากลัวว่าท่านอาอูเนเก็นจะเป็นปีศาจร้ายอย่าง 'พ่อ' จริงๆ

    แต่ท่านอาไม่ได้ทำแบบนี้นอกบ้านเพื่ออวดคนอื่นๆ เหมือน 'พ่อ' แม่ก็ไม่เคยก้มหน้านอบน้อมกับท่านอาอูเนเก็น ไม่เคยห่อไหล่ตัวเกร็งเหมือนทุกครั้งที่ 'พ่อ' แตะต้องตัว พอเวลาผ่านไป ยาฮีมก็เลยเริ่มชินและรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง อีกทั้งท่านอาก็ไม่ได้หมางเมินทำตัวห่างเหินกับเขาเวลาอยู่ในบ้านเหมือน 'พ่อ' แต่ยังคงพูดจาเล่นหัวกับเขาเหมือนเคย ไม่ทำให้เด็กชายรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดหรือแย่งความสนใจเท่าใดนัก ดีเสียอีกที่ท่านอาอยู่เล่านิทานให้เขาฟังจนถึงเวลาเข้านอนบ่อยๆ เพราะนิทานของบ้านท่านอาเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ยาฮีมไม่เคยฟังมาก่อน

    จนหลังอาหารเย็นวันหนึ่ง ท่านอาอูเนเก็นก็บอกแม่กับยาฮีมว่ามีธุระต้องออกเดินทางไปราวสองสัปดาห์

    "แต่หลังจากนั้น ข้าจะกลับมาหา คราวนี้ล่ะจะแต่งงานกับเจ้า อยู่กับเจ้ากับยาฮีมตลอดไปเลย" ท่านอารับรองหนักแน่นพร้อมกับกุมมือของแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ กันหน้าเตาผิง มียาฮีมนอนหนุนตักแม่อยู่ใกล้ๆ

    "ค่ะ" แม่รับคำเบาๆ แม้นจะไม่ได้มองทั้งหน้าของเขาหรือท่านอาอูเนเก็น ท่านอาเลยถอนใจน้อยๆ ก่อนจะพูด

    "ข้าสัญญากับเจ้า" ท่านอาก้มลงสบตากับเด็กชาย และยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นมือมาเกี่ยวก้อยกับเขา "กับยาฮีมด้วย"

    "กลับมาเร็วๆ นะฮะ" เด็กชายพูดแทนแม่ที่ยังเงียบอยู่ ทำให้ท่านอาอูเนเก็นหัวเราะน้อยๆ

    "ฮื่อ อาจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด คราวนี้ล่ะจะเอาของฝากที่ดีที่สุดมาให้แม่กับเราแน่ๆ"

    ทั้งสองสบตา สื่อความหมายถึงความลับที่รู้กันเพียงสองคน แม่ไม่ทันสังเกต ไม่รู้ว่าทันฟังเรื่องที่ท่านอาพูดไปเมื่อครู่ด้วยซ้ำหรือเปล่า ผ่านไปครู่หนึ่งท่านอาจึงได้หันไปมองแม่และถาม

    "เป็นอะไรหรือเปล่า ดินาห์"

    แม่สะดุ้งแวบหนึ่ง

    "ป...เปล่าค่ะ ทำไมหรือคะ"

    "ก็...เห็นเจ้าดูเหม่อๆ เหมือนไม่สบายใจอยู่น่ะ"

    แม่นิ่งเงียบไปอีกสองสามอึดใจ พร้อมกับลูบผมของเด็กชาย

    "ข้าแค่...แค่มีเรื่องอยากจะบอกน่ะค่ะ"

    "เรื่องอะไรหรือ"

    ยาฮีมเห็นแม่กระพริบตาถี่ๆ ริมฝีปากเม้มแน่นขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจพูดต่อ

    "...ไว้ท่านกลับมาแล้วค่อยบอกดีกว่าค่ะ"

    "ก็ได้ แล้วแต่เจ้าเถอะ" ท่านอาอูเนเก็นรับอย่างไม่ติดใจอะไรนัก

    แม่ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้ต่อ เพียงแค่บอกว่าถึงเวลาที่ยาฮีมควรจะเข้านอนได้แล้วเท่านั้น

    เด็กชายเห็นท่านอาอูเนเก็นเป็นครั้งสุดท้ายในคืนนั้น และคำสุดท้ายที่พูดด้วยก็คือคำว่า "ราตรีสวัสดิ์ฮะ ท่านอา"

    แม่บอกว่าท่านอาออกเดินทางไปตั้งแต่เช้ามืด จนทุกวันนี้ยาฮีมก็ยังไม่รู้ว่าแม่พูดอะไรอีกกับท่านอาหลังจากที่เขาหลับไป ได้อยู่กับท่านอาจนถึงเช้า หรือว่าท่านอาแวะมาลาแม่ตอนเช้ามืดอีกครั้งหรือเปล่า

    ที่เขารู้แน่ในตอนนี้ แต่ไม่รู้หรือไม่เคยกระทั่งจะสงสัยเลยในตอนนั้น คือท่านอาจะไม่มีวันกลับมาหาเขากับแม่อีกแล้ว


    เด็กชายกดปลายแท่งถ่านกับหน้ากระดาษสมุดเป็นจุดเล็กๆ ซ้ำๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าแม่เห็นเข้าต้องดุเขาแน่ที่ทำสมุดเลอะ

    แต่ยาฮีมก็อดไม่ได้ เวลาล่วงเลยไปนานแล้วตั้งแต่เลิกเรียนตอนบ่าย เขานั่งทำการบ้านคัดลายมือจนเสร็จ แต่แม่ก็ยังไม่มาเสียที

    ปกติถ้าแม่มีธุระมารับเขาไม่ได้ แม่จะวานให้ท่านปู่โยเรหรือหรือท่านอาอูเนเก็นมารับเขาแทน ทว่าช่วงนี้ท่านปู่ต้องออกไปนอกหมู่บ้านสักพักเพื่อล่านกเป็ดน้ำที่เตรียมตัวอพยพกลับเมื่อถึงกลางฤดูใบไม้ร่วง ส่วนท่านอาอูเนเก็นก็ไม่ได้กลับมาเสียนานแล้ว ตั้งแต่กลางฤดูร้อนก่อนถึงเทศกาลเก็บผลเอรี จนถึงปลายฤดูร้อนใกล้เข้าฤดูใบไม้ร่วง นานกว่าที่บอกว่าครึ่งเดือนจะกลับมาราวๆ เกือบสามเดือนได้แล้วกระมัง

    หรือแม่จะไม่สบาย พักใหญ่แล้วที่ยาฮีมเห็นแม่หน้าซีดในตอนเช้า อาเจียนอยู่บ่อยๆ แถมยังกินอะไรไม่ค่อยลง พอเขาบอกว่าแม่น่าจะไปหาหมอ แม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร แม่สบายดี ไม่ได้ป่วยอะไรเลย ทั้งๆ ที่อาการพวกนี้ยังคงอยู่ ซ้ำยังออกจะหนักขึ้นด้วยซ้ำ

    หรือที่แม่ไม่ยอมไป จะเป็นเพราะแม่ห่วงเรื่องเงินค่ายาค่าหมอ ยาฮีมเคยบอกกับแม่ว่าอยากกินอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยได้กินตั้งแต่พ่อตายไป เช่นสตูเนื้อหรือไก่อบยัดไส้ แต่แม่ก็บอกว่ายังทำให้ไม่ได้ เพราะตอนนี้เงินเก็บเหลือน้อย เด็กชายเลยต้องกินต้มผักหญ้าที่แม่เก็บจากริมรั้วหรือชายป่า กับขนมปังไม่หมักแบบเรียบๆ ทุกวัน วันไหนดีขึ้นก็มีไข่ไก่เพิ่มมาอีกสักฟอง เพราะช่วงนี้ท่านอาอูเนเก็นกับท่านปู่โยเรที่เคยเอาเนื้อสัตว์กับปลามาฝากบ่อยๆ ไม่อยู่ด้วยกันทั้งคู่

    "ยาฮีม" เสียงพระเถระเอมอนเรียกให้เด็กชายเงยหน้าขึ้น พบว่าท่านมายืนอยู่ตรงหน้าเมื่อไรก็ไม่รู้ "วันนี้แม่บอกว่ามีธุระหรือเปล่า"

    ยาฮีมสั่นศีรษะ วันนี้แม่ไม่ได้บอกอะไรเขาเป็นพิเศษนี่นา

    "จะเย็นแล้วนะ ให้องครักษ์พาเจ้าไปส่งดีไหม" พระเถระถามอย่างอารี "นี่ก็ใกล้เวลาทำวัตรเย็นแล้ว"

    "แต่ข้าอยากรอแม่มากกว่า" เด็กชายก้มหน้าพูดอ่อยๆ

    "แม่เจ้าคงยังไม่เลิกงาน ไม่ก็กำลังเดินทางมาที่นี่ล่ะ เดี๋ยวข้าให้องครักษ์พาเจ้าไปหาแม่ก็ได้" ท่านเอมอนพูดต่อ

    ยาฮีมรีบพยักหน้ารับ ถ้าแม่ยังไม่มา เขารีบไปหาแม่แทนก็ได้นี่นา

    พระเถระเรียกองครักษ์ประจำอารามรุ่นหนุ่มคนหนึ่งแถวนั้นมา ส่วนเด็กชายก็เก็บสมุดกับแท่งถ่านใส่ถุงผ้าที่แม่เย็บให้เขานำมาโรงเรียนทุกวัน ก่อนจะตามองครักษ์คนนั้นออกไป

    ตามทางลูกรังหน้ารั้วอาราม เด็กชายก้าวตามองครักษ์สวมหน้ากากที่ไม่ได้จูงมือของตนไปอย่างเงียบๆ อีกฝ่ายเองก็เงียบพอกัน เด็กสาวสามคนที่เดินสวนมามองทั้งสองอย่างแปลกใจหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรและทำท่าจะเดินต่อไป ยาฮีมก็ไม่กล้าพูดอะไรแม้จะรู้สึกคุ้นๆ หน้าทั้งสาม แต่จำไม่ได้ ทว่าองครักษ์ที่มากับยาฮีมเป็นคนถามออกไป

    "รู้ไหมว่าดินาห์อยู่ที่ไหน"

    เด็กสาวทั้งสามหันไปมองหน้ากันเองเหมือนลังเลว่าจะให้ใครพูด ก่อนที่คนหนึ่งจะตัดสินใจตอบ

    " 'คุณนาย'...ก็อยู่ที่ไร่ของตัวเองนั่นแหละ"

    ว่าแล้วทั้งสามก็เดินไปโดยเร็ว ยาฮีมมองตามไปอย่างงงๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าทั้งสามเป็นลูกจ้างที่ไร่ของ 'พ่อ' นั่นเอง

    "แม่อยู่ที่ไร่ของตัวเอง...หมายความว่ายังไงเหรอฮะ" เด็กชายเอ่ยถาม

    องครักษ์ประจำอารามหยุดเดิน เหลียวมามองเขา

    "นี่เจ้ายังไม่รู้หรือ"

    ยาฮีมสั่นศีรษะ

    "ก็...ตอนนี้ แม่ของเจ้าทำงานอยู่ที่ไร่ที่เคยเป็นของพ่อเจ้าน่ะสิ"

    "ทำไมล่ะฮะ"

    "ก็..." องครักษ์เริ่มอึกอัก "ถ้าไม่ทำงาน...แล้วจะหาเงินจากที่ไหนล่ะ"

    เด็กชายเงียบไป อีกฝ่ายจึงหันหน้ากลับและเดินต่อ เลยแยกที่ยาฮีมไม่ได้ผ่านมาอีกเลยนับจากวันงานศพของ 'พ่อ' ไปถึงบ้านอิฐหลังใหญ่และไร่กว้างที่เขาไม่ได้เห็นมานาน

    ที่ข้างตัวบ้านมีชุดโต๊ะกับม้านั่งหินใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ยาฮีมจำได้ว่าตนเคยพยายามปีน แต่ถ้าใครเห็นก็จะรีบร้องห้ามเขา ไม่ว่าจะเป็นแม่หรือคนงานของ 'พ่อ' ใครๆ ก็บอกว่าเขาไม่ควรปีนต้นไม้เพราะอันตราย

    เด็กชายยังจำได้อีกว่าที่กิ่งไม้ใหญ่กิ่งหนึ่งเคยมีชิงช้าที่ 'พ่อ' สั่งให้คนงานทำขึ้น เขายังจำได้ว่าในตอนเย็น แม่จะมานั่งที่ม้านั่งหินดูเขาเล่นชิงช้า ถ้าเขารบเร้ามากๆ เข้า แม่ก็จะผลักชิงช้าให้

    ชิงช้าที่แม่ผลักดูจะเหวี่ยงสูงแทบส่งเขาถึงท้องฟ้า ส่งลมเย็นๆ ให้พัดผ่านตัวจนรู้สึกจั๊กจี้ พอชิงช้าเหวี่ยงลง เขาจะรู้สึกได้ว่ามือของแม่แตะที่หลังแวบหนึ่ง ประคองเขาไว้ไม่ให้ตกและส่งเขากลับขึ้นไปอีกครั้ง...อีกครั้ง

    ตอนนี้ไม่มีชิงช้านั้นอีกแล้ว ที่ม้านั่งหินมีหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ แต่ไม่ใช่แม่

    ยาฮีมเพ่งมองอีกพักหนึ่งถึงได้เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นคือญาติของ 'พ่อ' ที่เขามาพูดกับแม่ในตอนนั้น

    นางเห็นเขากับองครักษ์ประจำอารามเช่นกัน จึงได้ลุกขึ้น ก้าวเท้ายาวๆ มาพร้อมกับถามเสียงห้วน ดวงตาปรายมองเด็กชายเพียงแวบก็หันไปจดจ่อเฉพาะกับองครักษ์ที่มาด้วย

    "มีธุระอะไร"

    "พระเถระให้ข้าพายาฮีมมาหาแม่ครับ" องครักษ์ตอบตะกุกตะกักเล็กน้อย "ไม่ทราบว่าดินาห์อยู่ที่นี่หรือเปล่า"

    "อ้อ" อีกฝ่ายทำเสียงรับเบาๆ ก่อนจะพยักพเยิดไปทางไร่ "ยังทำงานอยู่ กว่าจะเสร็จคงอีกนาน"

    "แต่นี่เลยเวลาเลิกงานแล้วไม่ใช่เหรอครับ" คำพูดขององครักษ์หนุ่มทำให้ยาฮีมมองไปรอบๆ นึกขึ้นได้เช่นกันว่าไม่เห็นใครกำลังทำงานอยู่เลยสักคน "ระหว่างทางมาที่นี่ข้ายังสวนกับพวกคนงานอยู่เลย"

    หญิงคนนั้นยักไหล่น้อยๆ

    "ถ้าคนงานธรรมดาๆ ที่ทำงานดีๆ น่ะได้เลิกงานตามเวลาอยู่แล้ว แต่คนที่ตรงกันข้ามน่ะก็...ช่วยไม่ได้"

    เด็กชายกระพริบตาปริบๆ องครักษ์ประจำอารามเองก็ไม่พูดอะไร ญาติของ 'พ่อ' หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อ

    "แต่ข้าไม่ได้จะว่าดินาห์ทำงานไม่ได้เรื่องนะ ก็แค่หมู่นี้นางทำงานช้า ข้าก็เข้าใจแหละว่าไม่สบาย แต่เช้านี้เกิดทำของขายเสียไปด้วย ข้าทำการค้า ไม่ใช่แม่พระสงเคราะห์ใคร ก็ต้องการค่าชดเชยเหมือนกัน"

    "นางทำอะไรหรือครับ" องครักษ์กลับถามอย่างสนใจขึ้นมา

    "นางเกิดอาเจียนรดข้าวโพดที่ข้าสั่งให้ปอกน่ะสิ จะให้ข้าทำยังไงล่ะ เสียของเปล่าๆ จะเอาข้าวโพดพวกนั้นไปเลี้ยงหมู ข้ายังไม่กล้าทำเลย กลัวว่าคนซื้อหมูเราไปกินจะรังเกียจ เลยต้องทิ้งสถานเดียว"

    "...ถ้าอย่างนั้นท่าทางนางจะไม่สบายมากนะครับ น่าจะให้พักก่อนจนกว่าจะหาย"

    หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ รับ

    "ถ้าจะให้พักจนกว่าจะหายจริงๆ...นางคงไม่ต้องทำงานทำการอะไรไปถึงเก้าเดือนแล้วล่ะมั้ง"

    องครักษ์ประจำอารามนิ่งอึ้งไป ยาฮีมกลับพูดขึ้นมาแทน

    "แม่ป่วยหนักขนาดนั้นเลยเหรอฮะ"

    หญิงคนนั้นปรายตามองเด็กชายเป็นครั้งแรกหลังผ่านไปนาน ตอบพร้อมรอยยิ้ม

    "อ้า...อันที่จริงก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนักหรอก ไม่นานเดี๋ยวก็อ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นเอง เชื่อข้าสิ"

    "แต่แม่จะอ้วนได้ยังไง เดี๋ยวนี้แม่กินอะไรไม่ค่อยลง อาเจียนบ่อยๆ ด้วย" ยาฮีมแย้ง

    อีกฝ่ายหัวเราะดังกว่าเดิมจนเด็กชายงง

    "โรคนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ เด็กๆ อย่างเจ้ายังไม่เข้าใจหรอก" นางพูดแล้วพยักพเยิดไปทางไร่ "ว่าแต่เจ้าจะเข้ามาดูแม่ทำงานไหมล่ะ แม่เจ้าคงดีใจที่เห็นเจ้ามาหาถึงนี่

    เด็กชายรีบพยักหน้า หญิงคนนั้นยิ้มอีกครั้งแล้วบอกให้เขาเดินอ้อมรั้วเข้าประตูมา ส่วนองครักษ์ประจำอารามกลับไปก่อนก็ได้ เพราะเดี๋ยวนางจะพาเขาไปหาแม่ต่อเอง


    แม่คุกเข่าอยู่กลางแปลงฟักทอง กำลังสาละวนถอนวัชพืชพลางปาดเหงื่อเป็นระยะๆ

    "แม่ฮะ!" พอได้ยินเสียงเขา แม่ก็เงยหน้าขึ้นทันที สีหน้าของแม่ประหลาดใจมากเมื่อเห็นเขาวิ่งมาที่ริมแปลง

    "ยาฮีม ทำไมถึงมาที่นี่ได้"

    "ท่านเอมอนให้องครักษ์พาข้ามาหาแม่ แล้วก็มีคนบอกว่าแม่ทำงานที่นี่"

    "อะไรกัน นี่ลูกเจ้าแท้ๆ ยังไม่รู้อีกหรือดินาห์" หญิงสาวที่มากับเขาพูดขึ้นบ้าง "ทำไมไม่บอกล่ะ หรือกลัวว่าลูกเจ้าจะยอมรับไม่ได้ที่แม่กลับกลายมาเป็นคนงานในไร่ที่ตัวเองเคยเป็น 'คุณนาย' มาก่อน"

    ยาฮีมกระพริบตาปริบๆ ส่วนแม่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ก่อนจะเหลือบมองเด็กชายแวบหนึ่ง

    "ยาฮีม เดี๋ยวแม่ก็เสร็จงานแล้ว เราจะได้กลับบ้านกันอีกไม่นานนี้แหละ"

    "อ้อ แล้วดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ได้บอกลูกสินะ ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร" ญาติของ 'พ่อ' พูดต่อไป "หรือกลัวอีกว่าลูกจะยอมรับไม่ได้ว่าเจ้าน่ะ--"

    "นี่แปลงสุดท้ายแล้ว ถ้าเสร็จแปลงนี้ ข้าก็รับค่าจ้างกลับบ้านได้แล้วสินะคะ" แม่ขัดขึ้น

    "ใช่" อีกฝ่ายตอบเรียบๆ ก่อนจะก้มลงมองเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างๆ "เจ้าจะไปช่วยแม่ไหม จะได้เสร็จงานเร็วขึ้น กลับได้เร็วขึ้น"

    ยาฮีมพยักหน้าก่อนจะรีบก้าวเร็วๆ แทบเป็นวิ่งลงแปลงฟักทองไปอยู่ข้างๆ แม่ ได้ยินเสียงดังไล่หลังมา

    "ระวังอย่าทำของเสียเหมือนแม่เจ้าล่ะ เดี๋ยวต้องทำงานชดเชยกันไม่จบไม่สิ้นอีก"

    เด็กชายไม่ทันสนใจ ก้มลงมองหาต้นพืชเล็กๆ หน้าตาแบบเดียวกับที่แม่ถอนวางไว้ข้างตัวเป็นกองๆ

    "ตรงนี้มีต้นนึงฮะ"

    "จ้ะ ยาฮีมไม่ต้องถอนหรอก เดี๋ยวแม่--" แม่พูดไม่ทันจบ ยาฮีมก็สะดุ้งพร้อมกับร้องเบาๆ ยกมือขึ้นมาดูเห็นรอยจุดแดงๆ ที่ปลายนิ้วแสบแปลบ แม่ทิ้งงาน รีบคว้ามือของเขามาดูแล้วปลดผ้าผูกผมมากดแผลให้ "ต้นพวกนี้มีหนาม ถ้าถอนไม่เป็นจะถูกตำเอา ยาฮีมช่วยชี้บอกแม่ว่ามันอยู่ไหนก็พอ เดี๋ยวแม่ถอนเอง"

    เด็กชายก้มลงมองมือเปื้อนดินของแม่ที่กดทับผ้าอยู่ เห็นรอยบวมแดงบนปลายนิ้วต่างๆ เช่นเดียวกัน

    "แล้วแม่ไม่เจ็บเหรอฮะ"

    "ไม่หรอกจ้ะ" แม่ส่งยิ้มให้กับเขา "ไม่เจ็บเลย แม่ชินแล้ว ยาฮีมไม่ต้องช่วยถอนหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเรียนจะเขียนหนังสือลำบากนะ"

    ยาฮีมเลยพยักหน้า ช่วยแค่มองหาว่าวัชพืชอยู่ไหน ก่อนจะชี้บอกแม่เท่านั้นเอง

    กว่าทั้งสองจะได้กลับบ้านก็ย่ำค่ำ ญาติของ 'พ่อ' ที่กลายมาเป็นเจ้าของไร่ส่งเหรียญเก่าๆ สีเข้มเกือบดำสองเหรียญให้กับแม่ พอแม่ถามว่าทำไมถึงน้อยนัก ก็ได้รับคำตอบว่าหักค่าข้าวโพดที่เสียไป แม่จึงไม่พูดอะไรต่อนอกจากบอกยาฮีมว่ากลับบ้านกันได้เสียที

    แล้วทั้งสองก็เดินไปข้างๆ กัน แม่ออกตัวว่าวันนี้จูงมือเขาไม่ได้เพราะมือเลอะ ยังไม่ได้ล้างมือเลย

    ถึงจะถูกตำแค่นิ้วเดียว และแม่นำยาสมุนไพรลดบวมที่พอมีอยู่มาทาแผลให้แล้ว วันต่อมา ยาฮีมยังรู้สึกปวดๆ ปลายนิ้วเวลาคัดอักษรจริงๆ

    เมื่อนึกย้อนไป ยาฮีมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วแม่ที่มีแผลถูกตำเสียหลายนิ้วจะไม่รู้สึกเจ็บมากกว่าเวลาไปทำงานในวันต่อมาหรือ

    ทว่าแม่ก็เป็นเช่นนี้เอง ไม่ว่าครั้งไหนที่ยาฮีมถามแม่ว่า "เจ็บไหม" แม่ก็จะตอบว่า "ไม่เจ็บ" เขาจะได้ไม่เป็นห่วงขึ้นมาทุกครั้ง ทั้งตอนที่ 'พ่อ' ยังอยู่ ตอนที่ท่านอาอูเนเก็นอยู่ หรือตอนที่มีกันแค่สอง...ไม่สิ...สามชีวิต รอคอยผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยกลับมาทั้งๆ ที่ให้สัญญาไว้

    แม่ไม่เคยยอมรับกับเขาตรงๆ เลยว่า "เจ็บ" จนถึงวาระสุดท้าย

- To be continued -
Part IV - Threats


Note: ชินูยากับอูเนเก็นทยอยหมดบทแล้วในตอนนี้ แล้วเนื้อเรื่องก็เิริ่มเข้าสู่โซน "ด้วยสองมือแม่นี้ที่สร้างโลก" แล้ว ^^;;;

ในไซด์นี้ผมให้ความสำคัญกับดินาห์มาก เพราะอยากให้เห็นว่ายาฮีมผูกพันกับแม่ และแม่มีความหมายกับเขามากขนาดไหน นอกจากนี้ ผมยังไม่เคยเขียนเรื่องแนวแม่ลูกที่แสดงถึงความเสียสละและเข้มแข็งของแม่ขนาดนี้ พร้อมๆ กับแสดงภาพของดินาห์ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่ทิ้งความรักในอดีตไปไม่ได้ด้วย จึงอยากลองดูครับ

แต่นั่นก็หมายความว่าดินาห์จะต้องพบกับความลำบากอีกมากมายเลยทีเดียว โดยเฉพาะในตอนหน้าซึ่งชื่อก็ออกจะส่อเค้าปัญหามากขึ้น และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะมีผลกระทบต่อยาฮีมในเวลาต่อมามากทีเดียว - -