ว่าด้วย 'พวกเขา' ที่นำพาเรื่องราวทั้งหมด...

ขึ้นชื่อเป็นโน้ตตัวละครเสียหรู แต่บทบาทของพวกเขาทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นจริงล่ะครับ ในเมื่อเรื่องจบแล้ว ผมจึงอยากบอกเล่าเก้าสิบถึงแรงบันดาลใจที่มาของตัวละครต่างๆ และความเห็นที่มีต่อตัวละครเหล่านั้นเป็นอย่างมากจริงๆ


คนจร

ที่มาของชื่อ ในเกมภาคญี่ปุ่น ชื่อของตัวเอกเกมไต่ยักษ์คือ "วันดา (Wanda)" ฟุมิโตะ อุเอดะซังโปรดิวเซอร์เกมให้สัมภาษณ์ไว้ว่าคำคำนี้เป็นการเล่นคำทับศัพท์พ้องเสียงในเซ้นส์ของคนญี่ปุ่นสองคำ คือ "wander" ที่แปลว่า "พเนจร" กับ "wonder" ที่แปลว่า "ความมหัศจรรย์" ในภาคอังกฤษเขียนเป็น "Wander" แต่ก็มีคนในทีมงานเกมอเมริกันคนหนึ่งบอกว่าเซ้นส์ของชื่อหมอนี่หมายถึง wanderer หรือนักเดินทางพเนจร ผมจึงเลือกใช้ชื่อ "คนจร" ที่สั้นที่สุดสำหรับความหมายนี้ แทนชื่อของพระเอก แล้วให้ "วันดา" เป็นชื่อปลอมที่โมโนคิดปัจจุบันทันด่วนตอนอยู่ในหมู่บ้านทางเหนือแทน

นอกจากนี้ ชื่อ "คนจร" ยังเป็นเหมือนคำทำนายหรือเกริ่นนำชีวิตของเด็กหนุ่มที่ไม่ได้ผ่านพิธีขนานนามคนนี้ด้วยว่าเขายังจะต้องระหกระเหินไปอีกนานราวกับไร้ตัวตน เพราะเลือกใช้คำคำนี้แทนตัวก่อนได้ชื่อเป็นทางการเสียนี่

แรงบันดาลใจ ไม่เชิงมาจากตัวผม แต่มีแรงบันดาลใจบางส่วนจากพี่ที่ผมรู้จักและสนิทด้วยมาก ขอเปิดเผยชื่อว่าคือพี่ Dark Master นั่นเองครับ นอกจากนี้ก็มีคอนเซ็ปต์ง่ายๆ ว่าเป็น "ผู้ชายดีๆ แบบที่ผู้หญิงจะชอบ" นั่นแหละครับ

ขอบเขตความสามารถ เพื่อให้การเดินดงและตระเวนหาอสูรยักษ์เป็นไปได้ง่าย จึงต้องให้หมอนี่เป็นลูกเผ่าพรานไว้ก่อน เรียกได้ว่าอะไรที่เกี่ยวกับสัตว์หรือป่าจะค่อนข้างถนัดกว่าคน ที่วิชาดาบไม่เก่ง ผมอิงจากท่าเหวี่ยงดาบงกๆ เงิ่นๆ ของคนจรในเกม แต่เก่งธนู เพราะในเกมเราสามารถเล็งยิงธนูถึงขั้นสอย "อินทรีร่วงจากฟ้า" และบวกกับการขี่ม้าก็เก่งขนาดยืนบนหลังม้ายิงธนูได้ทีเดียว อันที่จริงถ้านับตามชาวมองโกลที่ผมนำมาเป็นต้นเค้าของเผ่าอัสลาน พวกนี้น่าจะเก่งวิชาประชิดตัวพวกมวยปล้ำด้วย แต่กับคนจรดูไม่น่าจะสันทัด เพราะโครงสร้างของคนจรต้องเพรียว ความสูงมาตรฐานชายไทย (แบบโมเม) 170 ซม. ตัวจะได้เบา ไม่เป็นอุปสรรคกับการปีนป่ายนัก นอกจากนั้นก็เรียนรู้ไว มีไหวพริบคิดหาหนทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้ไต่ยักษ์แต่ละตัวได้ค่อนข้างเร็ว รวมกันออกมาเลยกลายเป็นพระเอกไม่บู๊แหลกแต่ค่อยๆ เทพเพราะความหัวไวบวกรั้นและถึกจากเลือดดำไปโดยปริยาย

ด้านอื่นก็ต้องทำงานได้สารพัดช่าง รู้จักเอาของรอบตัวมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ และทำอาหาร (กินกันตาย) กับงานบ้าน (พอเป็น) ชดเชยกับโมโนที่ถูกเลี้ยงมาแบบลูกคุณหนูสุดๆ แทน (อืม...ภรรยาธิปไตยรึเปล่าเนี่ย)

การวางนิสัย ทีแรกผมก็ไม่ได้กำหนดนิสัยคนจรไว้ล่วงหน้ามากมาย แต่วางไว้ว่าต้องเป็นคนที่พบกับ "ความจริง" ที่ช็อคแบบไม่คาดฝันอย่างอิโคะในนิยาย จนเกิดความสับสนว่าควรไต่ยักษ์เพราะรักเธอต่อหรือไม่นั่นเอง แต่พอดำเนินเนื้อเรื่องช่วงทำความรู้จักกับโมโน นิสัยของเขาก็ค่อยๆ ออกมาเองว่าเป็นคนแบบที่คนอื่นอยากเข้าใกล้ ร่าเริงคุยง่าย เพื่อจะได้สนิทกับสาวเจ้าอย่างรวดเร็วในเวลาแค่สามเดือน เพราะเทียบกับแฟนฟิคของคนอื่นๆ มักวางให้สองคนนี้รู้จักกันมาหลายปี หรือเป็นเพื่อนวิ่งเล่นกันมาแต่เด็กด้วยซ้ำ แต่คนจรดูเหมือนจะเป็นเด็กเก็บกด ติดกับโมโนอยู่คนเดียวด้วยเหตุบางอย่าง

ด้วยเหตุนี้ครอบครัวของคนจรเลยออกมาในพื้นฐานที่เหมือนขาดแต่ก็ไม่เชิงขาด เพราะขาดแม่ พ่อไม่ค่อยอยู่ใกล้ชิด เลยทำให้เข้าใจและถูกดึงดูดเข้าหาโมโนที่ไม่เคยได้ใกล้ชิดพ่อกับแม่เลยเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีพี่ชายกับปู่ย่าดูแล เลยได้พื้นฐานเข้ากับคนง่ายมาจากจุดนี้ ส่วนการที่ชินูยาไม่ค่อยอยู่ใกล้ๆ ทำให้คนจรเกิดปมไม่ค่อยถูกกับพ่อเท่าไร เพื่อกระตุ้นในการหลอกลวงของยาฮีมในบทที่ 23 สำเร็จง่ายขึ้น

จากนั้นก็ต้องมีความดื้อแบบเด็กๆ และอารมณ์ร้อนพอตัว เพื่อที่จะวางตัวเป็นปฏิปักษ์กับยาฮีม ในด้านของความเชื่อ ก็ให้อยู่คนละศาสนากับพวกนับถือสุริยเทพ และต่อให้ความเชื่อในเทพแห่งสายลมก็ไม่ถึงกับเคร่งมากนัก ถึงได้ตัดสินใจพาโมโนหนีไปโดยไม่คิดมากเลยว่าตนเองกำลังละเมิดประเพณี

แล้วที่สำคัญกว่านั้นคือหมอนี่ต้องเป็นคนโรแมนติก (โรแมนติกที่นี้หมายถึง "ช่างฝัน" รวมกับ "หวานในความรัก" ด้วย) ระดับนักอุดมคติที่มองทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย มองโลกในแง่ดีและวาดฝันอย่างสวยหรูทีเดียว ทำให้มองว่าขอแค่ได้อยู่กับโมโน ปัญหาอะไรจะมาข้างหน้าก็ค่อยๆ แก้ด้วยกันได้

หมอนี่มีโกรธมีแค้นเป็นธรรมดามนุษย์ แต่เพราะพื้นฐานเป็นคนที่มีสำนึกด้านคุณธรรมอหิงสาจากคำพูดของพ่อเฒ่า บวกกับมีโมโนเป็นหลักยึดว่า "ไม่อยากทำอะไรที่โมโนรู้แล้วต้องเสียใจ" จึงไม่ลงมือฆ่าใคร กระทั่งยาฮีมที่นับได้ว่ามีเหตุควรฆ่าที่สุด รักษาสำนึกได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

ความเห็นส่วนตัว ในเรื่องที่ผ่านมาอย่างน้อยสองเรื่อง อย่าง Wings of Hope กับ ความทรงจำแห่งสายลม ผมไม่เคยมีตัวเอกที่ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย บุคลิกสบายๆ และทำตัวเป็นเด็กหัวรั้นเหลือเชื่อขนาดนี้ (ฮา) แถมยังเกรงใจศรีภรรยาอีกนะ เพราะฉะนั้นคิดว่าถ้ามีคนแบบนี้เป็นเพื่อนสนิทสักคน ชีวิตคงฮาเฮและไม่เครียดดี ง่ายๆ เลย


โมโน

ที่มาของชื่อ ในภาษาญี่ปุ่น โมโนแปลได้ว่า "คน" หรือ "สิ่งของ" ชวนให้คิดว่าเธอเป็นใครสักคน หรือของอะไรสักอย่างที่มีไว้หิ้วขึ้นวางบนแท่น กว่าจะลุกขึ้นมาเอง คนหิ้วก็เซย์กู๊ดบายอุแว้ๆ ไปแล้ว (อ้าว...) แต่ถ้าเป็นภาษากรีก โมโน แปลว่า "หนึ่ง" ผมเลยใช้นี่เป็นความหมายชื่อของโมโน มีที่มาอันแสนเศร้าจากตอนที่แม่ของเธอร้องขอว่า "ขออุ้มลูกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น" ส่วนกับคนจรก็มีความหมายว่าเธอเป็น "หนึ่งเดียวในดวงใจ" นั่นเอง

คุณ Alex Rowe เพื่อนนักเล่นเกมชาวมัลต้า (ประเทศเกาะใกล้อิตาลี) เคยบอกผมว่า โมโน เป็นชื่อเผ่าอินเดียนแดงเผ่าหนึ่งด้วย ซึ่งก็น่าสน เพราะเขาคิดไปว่า ถ้าเกิดนี่หมายถึงชื่อเผ่าของคนจร โมโน กับเอมอน ก็จะหมายความว่าโมโนเป็นคนที่มีความสำคัญมากๆ ทีเดียว แต่ผมก็ยังไม่ได้ลองค้นคว้าเรื่องอินเดียนแดงเผ่านั้นดูเลยครับ

แรงบันดาลใจ จากคนที่ใกล้ตัวผมที่สุดส่วนหนึ่ง บวกกับจิเสะ นางเอกของการ์ตูนเรื่อง "ไซคาโนะ อาวุธสุดท้ายคือเธอ" ฉบับอนิเม ในฐานะสาวน่ารักโนะเนะที่ไม่ได้มีไว้ปั๊มพลังโลลิในเรื่องอย่างเดียว เพราะความซวยของจิเสะก็เรียกว่าเท่าๆ โมโนก็ว่าได้ ในแง่ที่ [SPOILERS]ตัวเองไม่ใช่คนธรรมดา มีอันตรายมหาศาล และต้องเลือกระหว่างหน้าที่ที่แสนบีบคั้นใจกับความรัก สุดท้ายพอเลือกความรักแล้วก็สร้างความเจ็บช้ำให้กับตัวเองกับคนที่เธอรักมากทีเดียว (แถมสองคนนี้ยังต้องกินยาเป็นประจำด้วยเหตุบางอย่างเหมือนกัน)[END SPOILERS]

ขอบเขตความสามารถ เพราะผู้ถูกเลือกต้องถูกเลี้ยงให้ไม่ทำงานการอะไร โมโนเลยมีเวลาว่างไปทุ่มกับการอ่าน อีกทั้งจะว่าไปแล้วการอ่านเป็นทางเดียวที่เธอจะได้รู้จักที่อื่นๆ นอกจากหมู่บ้าน เธอเลยอ่านหนังสือแตกฉาน จำโคลงกลอนบทเพลงได้เยอะ แล้วเพราะอ่านมากเลยเป็นคนช่างคิดช่างฝัน งานที่เธอพอช่วยทางอารามทำได้ก็คือสอนหนังสือ จึงยิ่งจำหลักการสอนแม่นยำมากขึ้นไปอีก งานฝีมือพวกเย็บปักถักร้อยก็พอทำฆ่าเวลาได้ แต่งานบ้านกับทำอาหาร...ต้องมาเรียนรู้ใหม่ทั้งหมดเอาตอนวิวาห์เหาะไปกันคนจรนี่แหละ (ไปๆ มาๆ เลยถือเป็นการพิสูจน์รักของคนจรด้วย ว่าต้องปลงกับแม่บ้านแหละนะ ก็ใจมันรักไปแล้ว ^^;;; )

การวางนิสัย โมโนในฟิคที่ผมเคยอ่านมักงดงามสูงส่งราวเทพธิดา เผชิญหน้ากับความตายและชะตากรรมอย่างกล้าหาญขณะที่คนจรรับความตายของเธอไม่ได้จนตั้งใจจะชุบชีวิตเธอขึ้นมา ผมเลยอยากสร้างโมโนที่แตกต่างออกไปบ้าง เป็นโมโนที่เป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ นิสัยเหมือนที่เด็กสาวคนหนึ่งควรเป็นแม้จะเก็บอะไรไว้เยอะ ซื่อๆ ขี้อายเป็นบางครั้ง ช่างฝัน เจ้าน้ำตา ร่าเริงข้างนอก แต่ข้างในต้องแบกรับเรื่องต่างๆ มากมายที่มาจากสถานะผู้มีเลือดสีดำ ต้องการใครสักคนที่จะมาเติมเต็มความอบอุ่นที่ตัวเองขาดไป แต่เมื่อมีปัญหาอะไรก็เลือกที่จะเก็บไว้กับตัวจนถึงจุดที่ปิดบังต่อไปไม่ได้แล้วเท่านั้น ถึงอย่างนั้นในการตัดสินใจแบกรับเรื่องต่างๆ เพียงลำพังของโมโนก็เรียกว่ามีความเห็นแก่ตัวแฝงอยู่ไม่น้อย เพราะถึงเธอจะรู้ความรู้สึกของคนจร ว่าทรมานแค่ไหนที่ได้รู้ความจริงและต้องแยกจากกัน เธอก็ยังเลือกทางที่แยกกันเจ็บ เพราะไม่อยากเห็นคนจรมีอันตรายหรือต้องเจ็บปวดต่อหน้า (ถึงรู้ว่าแยกกัน เขาก็เจ็บอยู่ห่างๆ อาจจะเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำ) นั่นเอง

ความเห็นส่วนตัว ถ้าถามว่าผมชอบใครที่สุดในเรื่อง แน่นอนว่าต้องเป็นลูกสาวคนนี้ =^^=

เรื่องตลกคือ ผมเขียนเรื่องนี้ในมุมมองของคนจรเป็นหลัก แต่เวลาคิดเนื้อเรื่อง ผมมักจะนึกว่าโมโนรู้สึกยังไงกันนะ และโมโนจะพูดอะไรทำยังไงนะ จนต้องเข็นบทที่ 44 มาเป็นตอนของโมโนโดยเฉพาะ บวกไซด์สตอรี่ต่างๆ ในมุมมองของโมโนด้วย ส่วนนึงที่ผมชอบเธอคงเป็นเพราะ ในเกมเราแทบไม่เห็นลักษณะนิสัยของเธอเลย ทำให้ผมมีอิสระที่จะสร้างคาแรกเตอร์ของเธอเกือบเป็นออริจินัลของตัวผมเอง แต่เหตุผลใหญ่ง่ายๆ สำหรับโมโนคือ...เธอน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกินครับ กระทั่งผมหลับตานึกยังจินตนาการเสียงหวานๆ เรียก "พี่คนจรคะ" ได้เลย


อะโกร

ที่มาของชื่อ อะโกร ภาษากรีกมาจากคำว่า agros ที่แปลว่าทุ่ง ส่วนภาษาเคลติกเก่า จะแปลว่าสงคราม หรือการฆ่าฟัน (slaughter) ครับ ทั้งสงบทั้งดุเดือดในชื่อเดียวจริงๆ แฮะ ^^;;;

แรงบันดาลใจ เอ...ม้า ผมก็ไม่ได้มีแรงบันดาลใจจากม้าที่ไหนเป็นพิเศษอ่ะนะ ^^;;;

ขอบเขตความสามารถ วิ่งเร็วและทน ตามหานายได้ทุกที่ไม่ว่าจะถูกทิ้งไว้ที่ไหน ฉลาดแสนรู้สำหรับม้า

การวางนิสัย เพราะต้องการให้เป็นม้าที่จงรักภักดีกับคนจรที่สุด เลยต้องวางให้เห็นคนจรมาแต่เกิด คนจรดูแลต่างแม่เลยก็ว่าได้ จึงติดคนจรเหมือนพี่ชายไปเลย นอกจากนั้นก็ให้เข้าใจเล่นมุกกับคนจรในเวลาเหมาะๆ (ที่เฮียไม่ต้องการการรบกวน) เอ...รู้แล้วสิครับว่าเวลาไหน

ความเห็นส่วนตัว อะโกรเป็นตัวละครที่ไม่มีบทพูดเลย แต่ผมก็ชอบจากในเกมแล้ว (เพื่อนร่วมอุดมการณ์ตัวเดียวในเกม แถมไม่เคยปริปากบ่นถึงจะถูกใช้งานหนักหรือทารุณกรรมยังไง ^^;;; ) ถ้าไม่มีม้าเพื่อนรัก เห็นทีภารกิจของคนจรหลายครั้งจะพาลไม่สำเร็จเอาดื้อๆ เลยทีเดียว แถมยังทำการสละตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ดีดค็อกพิท เอ๊ย! คนจรบนอานไปถึงฝั่งฝันให้เสียอีก มีม้าอย่างนี้รักที่สุดเลยครับ T T (อันที่จริงขอแค่หมาก็พอแล้ว) ยินดีจริงๆ ที่อุเอดะซังเองก็วางให้อะโกรรอดกับเขาด้วย


ยาฮีม

ที่มาของชื่อ ยาฮีมเป็นชื่อที่ผมคิดแผลงๆ มาจากชื่อ "วาคีน (Joachim)" หรือที่อ่านว่า "ยัวฮิม" ในภาษาญี่ปุ่น (เป็นชื่อแฟนของนีน่า สาวในก๊วนของเจ๊ลูก้าในเบอร์เซิร์ก ที่แคสก้าพลัดไปอยู่ด้วยตอนเสียความจำนั่นเอง) โดยไม่ได้ดูความหมายชื่อเลย (ค้นมาภายหลังคือ "ก่อตั้งโดยพระเป็นเจ้า" ) แค่เพราะเสียงเข้าดี

หลังๆ ผมมาทำการค้นเล่นๆ ถึงได้ทราบว่าคำคำนี้มีในภาษาอาหรับ จากเว็บนี้ สกรอลลงมาตอนท้ายๆ หน้า จะมีการแบ่งระดับของ ผู้บรรยายฮาดิธ (ธรรมเนียมเกี่ยวข้องกับพระวจนะและวัตรปฏิบัติของพระศาสดามูฮัมหมัด) ระดับที่ 5 คือ Sadooq yaheem - เป็นความจริงแต่เลื่อนลอย (truthful but wandering) เมื่อเทียบกับระดับที่ 4 Sadooq - เป็นความจริง (truthful) ผมเลยอนุมานว่า yaheem แปลว่า เลื่อนลอย (wandering) เป็นความบังเอิญอันน่าแปลกที่มาตรงกับคำว่า wandering เพราะหมอนี่ก็ดูเลื่อนลอยในชีวิต แถมผมยังตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นว่าหมอนี่จะเป็น "ด้านตรงข้ามของคนจร" นี่แหละ o_O

แรงบันดาลใจ ตัวละครที่ชื่อ Frank Bennett จากนิยายเรื่อง "Fried Green Tomatoes at the Whistle Stop Cafe" ของ Flannie Flagg 

[SPOILERS]นายแฟรงค์คนนี้ต้องเรียกว่าเป็นคนมีปมอีดิปุสอย่างรุนแรงตรงที่รักแม่ เกลียดพ่อที่ชอบตีและเข้มงวดกับตนเอง แต่สุดท้าย เด็กชายแฟรงค์ก็พังทลายเมื่อเห็นอาของตนเป็นชู้กับแม่ จนกลายเป็นโรคเกลียดและชอบข่มเหงผู้หญิง จุดจบของแฟรงค์ไม่โสภาจริงๆ และในเรื่องเราก็ไม่ได้เห็นความคิดและพัฒนาการของเขาเลย ผมเลยอยากทำความเข้าใจความบีบคั้นของตัวละครแบบนี้บ้าง แต่ตัวของยาฮีมออกมาในแนวแตกต่างกันตรงที่ไม่ใช่คนชอบใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง กลับกลายเป็นเก็บกดและไม่สามารถมีความรักหรือผูกพันลึกซึ้งกับใครได้เพราะความกลัวไปแทน จนถูกดาร์คโมโนกระตุ้นถึงได้ระเบิดตูมออกมา[END SPOILERS]

ขอบเขตความสามารถ ถึกและแรงเยอะมาก่อน ถ้าคนจรผอมเพรียว เจ้านี่ก็ตัวโตสูงใหญ่ราวๆ 180 ซม. ขึ้นไป เรียกว่าถ้ามายืนข้างโมโนที่ผมคิดว่าสูงซัก 155-156 ซม. เท่านั้นก็เหมือนยักษ์ปักหลั่นแล้ว ทำให้ดูถมึงทึงน่ากลัวไปใหญ่ (ขนาดหักแขนโมโนนี่คงทำได้ง่ายๆ เลย...เหวอ) คาดว่าที่ตัวเบ้อเริ่มขนาดนี้เป็นเพราะโดนใช้แรงงานในอารามมาตั้งแต่เล็ก มีแววในการฟันดาบ เลยได้เป็นองครักษ์คนนึง แล้วเพราะว่างๆ ไม่มีอะไรทำ บวกกับถือดาบลองมือบ่อยกว่าคนอื่นๆ (โดยการกรีดตัวเองอยู่ทุกคืน) เลยกลายเป็นเซียนดาบยิ่งกว่าคนจรไป นอกจากนั้น...อืม...ผมก็นึกไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าหมอนี่ทำอะไรเป็นอีกนอกจากเจเนอรัลเบ๊ ^^;;;

การวางนิสัย ยาฮีมเป็นตัวที่ถูกกดลงหลายสเต็ปมากๆ ทีแรกผมวางไว้ว่าจะมีตัวละครที่เป็นองครักษ์ประจำอารามคนหนึ่งที่เป็นคู่ปรับคนจร และคนที่ต้องลงมือฆ่าโมโนทั้งๆ ที่เป็นพี่ชาย (อันเนื่องจากผมเป็นพวกซิสคอน...) เพื่อสร้างอุปสรรคความรักของทั้งสอง และความซับซ้อนของคนรอบข้างที่เกี่ยวข้องในพิธีสังเวย ตอนที่คนจรมาใหม่ๆ ยาฮีมจะได้ดวลกับคนจร หลังจากนั้นก็กลายมาเป็นเพื่อนกึ่งๆ รุ่นพี่คอยแนะนำเทคนิคดาบในระดับหนึ่ง ทำให้คนจรผิดหวังมากเมื่อกลับมาหาโมโนแล้วรู้ว่ายาฮีมเป็นคนที่ฆ่าเธอ

แต่พอหลังบทการดวล ผมก็เริ่มเห็นแววว่าสองคนนี้ท่าทางจะไม่เลิกกัดกันง่ายๆ เลยต้องพับเรื่องมิตรภาพหลังศึกไป แล้วหลังๆ พอคิดเรื่องครอบครัวที่มีปัญหาของยาฮีมขึ้นมาแล้ว ยาฮีมเลยกลายเป็นมีความรู้สึกยึดติดกับโมโนที่เหมือนกับแม่ และนำภาพของแม่ที่ถูกยาซีนทำร้ายมาซ้อนกับโมโนจนเกิดเหตุหมิ่นเหม่ศีลธรรมไป แต่ผมอยากมองว่า "คนที่เคยถูกทำร้ายมาก่อนจนเติบโตอย่างบิดเบี้ยว กลายมาเป็นคนที่ทำร้ายตนอื่นในเวลาต่อมา สามารถกลับตัวได้ด้วยความเข้าใจและการให้อภัยจากผู้อื่น" จึงเก็บชีวิตของยาฮีมไว้ให้ลุ้นกันว่าจะจบก่อนเรื่องจบหรือไม่อย่างไร หวังว่านี่จะเป็นบทสรุปที่ลงตัวสำหรับตัวละครออริจินัลที่มีบทมากที่สุดในเรื่องนี้ล่ะครับ

ความเห็นส่วนตัว คุณ Runaway Guy เพื่อนทาง ืmsn เคยทักว่า คุยกับผมเรื่องตำนานคนจรฯ ทีไร ผมมีอันต้องยกหมอนี่ขึ้นมาทุกที ประมาณหมอนี่เป็นพระเอกของเรื่องแทนคนจรนั่นแหละ ^^;;;
ถ้าผมชอบคนจรเพราะทำให้ผมผ่อนคลาย ผมก็ชอบยาฮีมที่มาบิดเกลียวประสาทผมอยู่บ่อยๆ แต่ก็สนุกอีกแบบล่ะครับ เพราะยาฮีมทีแรกตั้งใจให้มาเป็นด้านตรงข้ามของคนจร 

ทั้งสองคนมีเลือดชาวอัสลานเหมือนกัน ไม่ค่อยสนิทกับพ่อเหมือนกัน รักโมโนเหมือนกัน แต่มีปฏิสัมพันธ์ต่อโมโนต่างกัน คนจรพยายามเข้าใกล้โมโน ขณะที่ยาฮีมตีตัวออกห่าง ยิ่งคนจรสว่าง ยาฮีมก็มืดมนลงไป ในเมื่อคนจรเลือกที่จะแหกกฎช่วยโมโน ยาฮีมที่เป็นคนใกล้ชิดโมโนมากรองลงมาก็ยึดกฎยึดหน้าที่เป็นหลัก ความสัมพันธ์อันมีปัญหาทั้งรักทั้งเกลียดของยาฮีมกับโมโนก็เป็นส่วนที่ผมชอบอีกส่วนหนึ่ง เพราะนำด้านของโมโนที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อนกับคนจรออกมาด้วย


ดาร์คโมโน

ที่มาของชื่อ ก็...โมโนด้านมืด จริงๆ ผมชอบ "โมโนอีกคนหนึ่ง" มากกว่า แต่ดาร์คโมโนเรียกสะดวกกว่าครับ ^^;;;

แรงบันดาลใจ ฟูลตี้ ราชินีราตรี ในการ์ตูน Diabolo ของ Kei Kusunoki กับ Kaoru Ohashi 

[SPOILERS]ฟูลตี้เป็นอีกบุคลิกหนึ่งของเด็กผู้หญิงมัธยมปลายชื่อสึคิโกะ ปกติสึคิโกะเป็นคนเรียบๆ ขี้อาย ติดอ่าง ไม่กล้าสู้คน ถูกคนอื่นๆ รังแกตลอดเพราะถือว่าเธอต้องใช้บาป แทนพ่อที่ฆ่าล้างครอบครัวแล้วฆ่าตัวตายแต่เธอรอดมาได้ กระทั่งถูกลุงที่ย้ายไปอยู่ด้วยข่มเหง แต่พอกลายเป็นฟูลตี้ หนึ่งในหกมหาวิญญูที่ได้รับอำนาจซาตาน จะเข้าสู่โหมดพร้อมฆ่าได้ทุกคน แต่จริงๆ ก็ยังกังขาถึงจุดหมายการรวมกลุ่มมหาวิญญู และหักหลังผู้นำกลุ่มมาช่วยตัวเอกในที่สุด)[END SPOILERS]

ขอบเขตความสามารถ ล่วงรู้แทบทุกอย่างด้วยอำนาจมืด มีมนต์สะกดให้คนหลับไม่รู้ตัว หรือหลงไปกับตัณหา เจ้าแผนการเป็นที่หนึ่ง

การวางนิสัย ช่างยอกย้อน ชอบไล่คนอื่นจนมุม แต่ตัวเองไม่เคยถูกไล่จน ตรงข้ามกับโมโนอย่างถึงที่สุด ถ้าโมโนขี้อาย เจ้าหล่อนก็กร้านโลกมาจากไหนไม่รู้และปากกล้าจนผู้ชายยังอายแทบแทรกแผ่นดิน ถ้าโมโนซื่อใส เจ้าหล่อนก็เจ้าเล่ห์เหลือร้าย ทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดกระทั่งยอมเอาตัวเข้าแลก (เหวอ...ดีที่จำเป็นจริงๆ เฉพาะคืนแห่งคราสแหละนะ สงสารหนูโม...)

ความเห็นส่วนตัว ดาร์คโมโนเป็นตัวที่ผมสนุกกับการเขียนอีกตัวหนึ่ง เพราะเหมือนนางร้ายที่สุดของเรื่องที่ไม่ต้องแผดเสียงร้องกรี๊ด เต้นริกๆ เมื่อไม่ได้ดังใจหรือเงื้อมือตบนางเอก (ตบได้ไง ร่างเดียวกัน ^^;;; ) แต่ทั้งนี้ ผมก็ไม่ได้ให้เธอแบนถึงขนาดรับใช้อสุรเทพท่าเดียวโดยไม่มีข้อแม้ แต่รอวางแผนตลบหลังอสุรเทพอีกที กลายเป็นตัวละครที่เหมือนซับซ้อนซ่อนเงื่อนไม่เป็นเพื่อนใคร ทว่าจริงๆ แล้ว ผมคิดว่าเธอรักคนจรอยู่แต่ไม่กล้าสารภาพนะ (ฮา)

ถึงปากจะบอกเอาคนจรมาใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้นจนถึงวินาทีสุดท้าย หรือพูดทำนอง "ล้อเล่นต่างหาก" หลังบอกว่าเธอเองอาจจะรักคนจรเหมือนโมโนมั้ง ดาร์คโมโนก็คงประทับใจในความมั่นคงของคนจร (ที่พอรู้ว่าเธอไม่ใช่โมโนตัวจริงล่ะก็ วางแผนไล่ไปทันที ไม่หลงมนต์สะกดอีก) ไม่น้อย แล้วก็ความสุภาพอ่อนโยนเสมอต้นเสมอปลาย บวกกับความที่คนจรมุ่งมั่นจะช่วยโมโนให้ได้ อย่างนี้ตัวเธอที่อยู่ในตัวโมโนจะไม่ปลื้มได้ยังไง

แต่เพราะเธอไม่ใช่วิญญาณแท้ๆ เป็นแค่ "ก้อนอำนาจที่ใกล้ชิดมนุษย์มากเกินไปจนเกิดความรู้สึกแบบมนุษย์ขึ้นมา" ก็คงแอบช้ำลึกๆ เหมือนกันที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะรักคนจรได้ ถึงใครจะชนะ ดาร์คโมโนก็จะอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน อย่ากระนั้นเลย ทรยศเทพที่เห็นเรามีค่าแค่ใช้งานดีกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ โมโนกับคนจรก็ยังจะมีทางอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่เธอเองจะลืมนึกถึงมนต์ชำระล้างสุดท้ายของท่านเอมอนไปหรือเปล่านะ

เอ...ไม่แน่นะ เพราะผมเขียนไปทั้งเรื่อง พบว่าทุกอย่างแทบเป็นไปตามแผนที่ดาร์คโมวางไว้หมด หรือถ้าแผนไหนล้มเหลวก็ยังมีแผนบีแผนซีมาให้เปลี่ยนโดยฉับไว ดังนั้น เธออาจจะเตรียมการอะไรบางอย่างไว้ก็ได้นะครับ

สุดท้ายนี้กับดาร์คโมโน ก็คงต้องบอกว่านี่เป็นตัวละครที่ผมอยากแกล้งเหมือนกัน แต่ก็จนใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ว่ายังนึกหาวิธีแกล้งเธอไม่ออกนั่นแหละ รับมือได้ทุกสถานการณ์นัก ToT


ดอร์มิน

ที่มาของชื่อ เป็นไปได้มากว่าจะเป็น "นิมรอด" พระนามกษัตริย์แห่งบาบิโลเนียสะกดกลับหลัง

แรงบันดาลใจ เซลส์แมนประสบการณ์สูง, เจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ (ฮา...), เจ้าของบริษัท (ดอร์) มินคอร์ป, ดอร์มินในแฟนฟิค In Wake ของคุณ Yoko Endovale ที่ช่างพูดยั่วยอกย้อนนัก

ขอบเขตความสามารถ กระจายเสียงผ่านเครือข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง ใบ้อย่างกวนศอกถ้าไม่นับว่าเป็นเทพ คัดกรองแต่รายละเอียดที่ควรนำมาโน้มน้าวลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม (จริงอ่ะ? นอกจากคนจรแล้ว คนอ่านคนอื่นๆ รู้ไต๋กันหมดนี่นะ ^^;;; )

การวางนิสัย ดอร์มินในเกมนั้นแสนคลุมเครือ ท่าทางกระตือรือร้นให้คนจรจิ้มยักษ์ขนาดใบ้แล้วใบ้อีก (แต่ก็น่าแปลกว่าทำไมไม่บอกโต้งๆ ไปเลย ประมาณว่า "เอ็งยิงลูกตามันให้แตก รอให้มันเอาหัวโหม่งผนังถ้ำ แล้วก็โดดไปทิ่มหลังมันสิฟะ!" ถ้าอยากให้ไต่เสร็จเร็วๆ นัก) แสดงว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง แต่ถึงกระนั้น พอได้ร่างคนจรมาแล้ว ดอร์มินกลับใช้คำว่า "ยืมร่าง" (ประมาณว่า ยืมฉีดไบกอนฆ่ามดตายหมดแล้วจะคืนให้ไปโอ้ลัลล้ากับแฟนเน้อ) แทน "ยึดร่าง" แล้วก็ชุบชีวิตให้โมโนตามสัญญาจริงๆ (ถ้าไม่นับว่าเสียงหญิงของดอร์มินต่างหากที่ยึดร่างโมโนมาเลี้ยงต้อยเด็กน้อยมีเขาแทน) การโจมตีที่ใช้ก็ไม่เค้ย...ไม่เคยฆ่าพวกท่านเอมอนได้สักคนแม้จะเล่นไปนับ 100 เกม คนเล่นเลยสนุกสนานกับการตีความว่าดอร์มินเป็น "เทวาหรือซาตาน" กันแน่ แค่ขัดขวางพวกเอมอนจนกระทั่งโมโนฟื้นขึ้นมา แต่ตันโดนดูดลงชักโครกไปซะก่อน หรือว่าประสงค์ร้ายตุๆ ตั้งแต่ต้นจริงๆ

ส่วนเรื่องของผม หมอนี่มีจุดประสงค์แอบแฝงจริงๆ ล่ะครับ พ่วงความแค้นมาแทนชาวเมืองทั้งหมดกันใหญ่ด้วย

ความเห็นส่วนตัว ผมสนุกกับการแปลคำใบ้ของดอร์มิน บวกเติมคำพูดโน้มน้าวใจของดอร์มินลงไปมากๆ แต่ก็ยังมองว่าดอร์มินยังร้ายไม่สุด ถ้าร้ายสุด ต้องนิวเคลียร์ตูมเดียวฆ่าพวกท่านเอมอนได้หมด จากนั้นก็เคลมร่างคนจรที่หลุดจำนำเป็นการถาวร บังคับให้โมโนกลายเป็นราชินีองค์ใหม่ของตัว แทนแอร์กี่สิมาริเมสที่ตัดช่องน้อยหนีขึ้นเครื่องบินไปติดเกาะ เรียบร้อยโรงเรียนตัวร้ายไปแล้ว (กลายเป็นฉากจบที่น่าเศร้าที่สุดไปซะได้... - - )

เพราะอย่างนี้เลยลดระดับจากอสุรเทพตัวเป็นๆ มาเป็นวิญญาณกษัตริย์บริวารแทน จะได้มีพื้นฐานใกล้มนุษย์ที่ถูกหลอกได้ง่ายๆ ลงมาหน่อย เหตุผลที่คนจรพอเอาชนะการควบคุมร่างของดอร์มินก็ยกยอดให้เป็น "คณะปฏิวัติ 16 ผู้ถูกเลือกแห่งเลือดดำ" ที่กระทำการสำเร็จขณะท่านผู้นำกำลังรับศึกหน้าฉีดไบกอนไล่ม็อบนอกอยู่ ผลที่ออกมา ดอร์มินเลยดำเนินรอยตามคิงนิมรอดในตำนาน ที่ว่าถูกมเหสีรัก เซมิรามิส (ที่อันที่จริงก็ไปแย่งมาจากสามีเก่าเค้าซึ่งเป็นขุนพลของตัวเอง) หลอกยึดอำนาจ ตั้งตัวเป็นผู้ปกครอง จับนิมรอดยัดคุกไม่ก็ฆ่าทิ้งซะงั้น แล้วแต่ตำนานจะเล่ากัน

เบื้องหลังของดอร์มิน กับสิมาริเมส ผมเลยติดจะมองว่าสิมาริเมสเป็นนักวางแผนชั้นยอดกว่าดอร์มิน จึงเกิดเป็นดอร์มินที่เหลวสนิทเมื่อมเหสีรักเซย์กู๊ดบายไปเฉยๆ ถึงอย่างนั้นยังเลือกรับความพ่ายแพ้สมศักดิ์ศรีกษัตริย์เก่า


ท่านเอมอน

ที่มาของชื่อ เคยลองค้นแล้วพบว่ามีเป็นคำภาษากรีก เดาความหมายจากประโยคน่าจะแปลว่า "แห่งพวกเรา" แต่ไม่แน่ใจนักครับ ถึงอย่างนั้น นี่ก็น่าจะเป็นชื่อที่เข้าทีเดียว เพราะท่านเอมอนก็เหมือนพวกเราๆ ท่านๆ นี่ล่ะ ^^;;;

แรงบันดาลใจ หัวหน้าหมู่บ้านในอิโคะ ภาคนิยาย

ขอบเขตความสามารถ เทศน์เก่ง (?) ปรุงยาเป็นบ้าง เลยทำให้โมโนกินกันด้านมืดได้ (??) มีเวทมนตร์คาถาโอมเพี้ยง (???) แต่งัดมาใช้แค่ตอนจบเท่านั้นเอง

การวางนิสัย แฟนฟิคหลายเรื่องทำเสียท่านเอมอนเป็นตัวร้ายไปเลย ประมาณปากร้าย ไม่ก็มีจุดประสงค์ไม่ดีแอบแฝงหวังให้คนจรกับโมโนได้อยู่ใกล้กันเพื่อใช้โมโนเป็นเครื่องต่อรองเอาคนจรมาใช้งานในอารามนั่นล่ะ

ทว่าเพราะผมชอบความลึกของตัวละครหัวหน้าหมู่บ้านที่จำต้องสังเวยอิโคะ แต่ก็เห็นใจและรักอิโคะอยู่เหมือนกัน บวกกับตอนก่อนโยนดาบเห็นหน้าท่านเอมอนวาวๆ เหมือนมีน้ำตา (หารู้ไม่ว่าผมตาฝาด...นั่นมันความมันบนหน้าที่สะท้อนแสงต่างหาก...อ้าวเฮ้ย) ผมเลยคิดว่า ท่านก็คงเสียใจเหมือนกันที่เหตุการณ์กลับกลายเป็นรูปนี้ อาจจะไม่อยากให้ชะตากรรมของคนจรกับโมโนต้องเป็นอย่างนี้ก็ได้ เอ...หรือผมจะอุปาทานไปเอง จริงๆ ท่านอาจจะร้องไห้เพราะกลัวปีศาจดำปิดปี๋ตัวเบ้อเริ่มนั่นจนขาสั่นพั่บๆ แล้วก็ได้ ใครจะรู้

ถึงยังไง ท่านเอมอนของผมก็เป็นคนที่สับสนระหว่างศรัทธากับความรู้สึกส่วนตัวคนนึงล่ะครับ ท่านมาบวชเป็นพระก็คงหวังอยากช่วยเหลือผู้คน แต่มาพบความจริงเรื่องการสังเวยเข้านี่คงแทบกระอัก เลยต้องโดนกล่อมมาว่านี่คือทางที่องค์สุริยเทพทรงเตรียมไว้แล้วสำหรับพวกเลือดดำ ตัวเองเลยทำได้แค่ผ่อนปรนให้พวกเลือดดำในรุ่นที่ท่านเป็นพระเถระได้มีอิสระมากกว่ารุ่นก่อน (อย่างน้อยก็รุ่นพระอาจารย์ที่โหดหลายขนาดล่ามโซ่ขังคุก) เช่น ให้อาร์กัสกับพ่อได้พบปะอยู่ด้วยกัน แม้จะเปิดเผยตัวตนไม่ได้ หรือให้โมโนมาคุยกับคนจรได้บ้าง แต่กลับกลายเป็นสร้างปัญหาที่ไม่ค่อยมีในรุ่นก่อนๆ ขึ้นมาแทนซะนี่

ความเห็นส่วนตัว ผมชอบท่านเอมอนเหมือนกันนะ เป็นตัวละครที่เขียนแล้วเห็นใจมากกว่าจะเกลียด จะว่าไป ในเกมตอนที่ท่านเอมอนมาขัดขวางคนจร ผมไม่ได้รู้สึกเกลียดหรือไม่ชอบท่านเอมอนขึ้นมาด้วยซ้ำ เพราะผมมองว่าท่านก็มีเหตุผลของท่านเหมือนกัน ถ้าการที่คนจรทำถึงขนาดขโมยดาบศักดิ์สิทธิ์มาบุกรุกแดนต้องห้ามถือเป็นการละเมิดกฎขั้นอุกฤษฎ์ ผมมองว่าไม่เป็นการ "เกินกว่าเหตุ" เลยที่จะสั่งฆ่าคนจรในสภาพมีเขา ใกล้เป็นปีศาจเข้าไปทุกทีแล้ว

เรื่องน่าแปลกนิดหน่อยคือในฟิคของตัวเอง ผมติดเขียนชื่อท่านเอมอนโดยไม่มีคำว่า "ท่าน" ไม่ได้จริงๆ สังเกตดูก็ได้ครับว่าผมเรียก "ท่านเอมอน" ทุกคำ ไม่มีเอมอนเฉยๆ เลย ^^;;;


พ่อเฒ่า

ที่มาของชื่อ ไม่มีชื่อ เพราะขี้เกียจคิด เอ๊ย! เพื่อให้คลุมเครือไร้ตัวตนไว้ สุดท้ายตอนนี้ก็หาชื่อถูกใจไม่ได้ซักที

แรงบันดาลใจ หมอดูเฒ่าในนิยาย "The Kite Runner" ของ Khaled Hosseini, คิงโซโลมอนกับนักแปรธาตุในนิยาย "The Alchemist" (ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน) ของ Paulo Koelho

[SPOILERS]หมอดูเฒ่าในเรื่อง The Kite Runner ไม่ยอมทำนายชะตาให้เด็กเพื่อนกึ่งคนรับใช้ของตัวเอก แล้วยื่นเงินคืนให้กับมือ เพราะไม่อยากบอกว่าอนาคตข้างหน้าของเด็กชายคนนี้กำลังจะเผชิญกับความเลวร้ายจนไม่อาจพูดออกมาได้

ส่วนที่ได้แรงบันดาลใจจากคิงโซโลมอนและนักแปรธาตุ ก็คือคำพูดแนะนำทางเลือกในอนาคตให้กับตัวเอกของ The Alchemist ซานติเอโก ทำนอง "มีคนที่เลือกความมั่นคงในชีวิตมาก่อนความฝัน แล้วสุดท้ายก็กลับมาเสียใจเมื่อมีอายุว่าตนไม่สามารถทำตามความฝันนั้นได้อีกแล้ว" กับทำนายให้ซานติเอโกฟังว่า อนาคตของเขากับทางเลือก "ทิ้งความฝัน" จะเป็นอย่างไร ซึ่งคล้ายกับการทำนายอนาคตของคนจรหากตัดใจจากโมโนนั่นเอง[END SPOILERS]

ขอบเขตความสามารถ หยั่งรู้อนาคตและทำนายดวงได้ ดูเหมือนจะได้ยินเสียงของวิญญาณ รู้วิชาแพทย์บางส่วน (ขี่ลาเป็น...คงนับแหละนะ ^^;;; )

การวางนิสัย ลึกลับไว้ก่อนเป็นอย่างแรกสุด นอกจากนั้นก็ต้องมีลักษณะ "ก้าวล้ำไปกว่าคนธรรมดา" ในแง่ของความสงบและอารมณ์ ประหนึ่งคนที่ละทิ้งสังขารและความยึดติดทางโลกทุกอย่างแล้ว คำพูดก็ต้องกระทบความคิด ให้คนฟัง ทั้งคนจรและผู้อ่านไปต่อยอดกันเอง

ความเห็นส่วนตัว พ่อเฒ่ากับท่านเอมอนเป็นเหมือนตัวแทนสองแนวคิดที่ต่างกัน ผมมองว่าความคิดของพ่อเฒ่าเป็นเหมือนปรัชญาเต๋า ที่ว่ามีอำนาจหยิน (เช่นความมืด เพศหญิง ดวงจันทร์ น้ำ) และหยาง (เช่นแสงสว่าง เพศชาย ดวงอาทิตย์ ไฟ) และอำนาจทั้งสองนี้ต้อง "กลมกลืน" ไม่ใช่หักล้างทำลายกันเหมือนที่เห็นว่าสิ่งหนึ่งเป็นความชั่ว และอีกสิ่งหนึ่งเป็นความดีงาม ส่วนท่านเอมอนกับอารามสุริยเทพยึดติดศรัทธาในอำนาจด้านเดียวจนปฏิเสธความสำคัญและส่วนที่ดีของอีกด้านไป

ส่วนตัวผมชอบความคิดแบบพ่อเฒ่า เพราะสอดคล้องกับทางสายกลาง เรียกได้ว่าท่านเป็นกระบอกเสียงตัวจริงของผมบางส่วน บวกกับความลึกลับตั้งแต่แรกเปิดตัว ที่ทำให้ผมสนุกสนานกับการเขียนตอนที่ 18 ไปจนถึงตอนอื่นๆ ที่พ่อเฒ่าออกโรงมาก

ทีแรกแค่จะให้พ่อเฒ่าเป็นหมอดูพเนจร มาเกริ่นเป็นลางว่าสิ่งที่รอคนจรอยู่หากเลือกกลับไปหาโมโนนั้นไม่โสภานัก

แต่เพราะเขียนเสร็จแล้วปิ๊งบทต่อ เลยวางให้พ่อเฒ่ากลับมาเจอคนจรอีก ในฐานะ "ผู้ผ่านประสบการณ์เดียวกันมาก่อน และไม่อยากให้มีใครเดินทางผิดอีก" ซึ่งผมวางไว้ว่าเป็นผู้กล้าที่เดินทางไปชุบชีวิตเจ้าหญิงที่นครอมตะเป็นคนแรก แล้วได้ของขวัญสมนาคุณมาเป็นอายุขัยยาวนานของตัวเองกับเจ้าหญิง (แต่เจ้าหญิงชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน)

อย่างไรก็ดี ผมรู้สึกว่าเหตุผลยังค่อนข้างอ่อนไปที่จะให้ผู้กล้าเป็นอมตะ เลยเปลี่ยนให้พ่อเฒ่ากลายเป็นสามีของแม่หมอซิลฟาแทน แล้วเรื่องทุกอย่างก็กลับลงตัวอย่างที่ออกมาในบทส่งท้ายนี้เอง


แม่หมอซิลฟา

ที่มาของชื่อ ดัดแปลงจากชื่อ ซิลวา ชื่อของหมอหญิงในเกมซุยโคเด็น 5

แรงบันดาลใจ หมอซิลวา ในเกมซุยโคเด็น 5

ขอบเขตความสามารถ วิชาแพทย์ มองคนเก่ง

การวางนิสัย หญิงชราที่ดูเข้มแข็ง เงียบๆ ซ่อนความอ้างว้างไว้ แต่ก็มีความเข้าใจคน เห็นหน้าที่ของหมอมาเป็นที่หนึ่ง

ความเห็นส่วนตัว จากประสบการณ์เรื่องนี้ เรื่องสั้นวัลเคอา จูมาลา (เทพสีขาว) กับ Wings of Hope ผมได้ข้อสรุปมาว่า...ผมชอบตัวละครหมอที่มีจรรยาบรรณมากๆ และชอบเอาหมอรับเชิญมาจากเกมซุยโคเด็นจริงๆ ^^;;; (หมอฮวน พ่อบุญธรรมของโคริน และพ่อแท้ๆ ของซาอิใน WoH ก็มาจากเกมนี้แต่เป็นภาค 2) อาจเป็นความฝังใจว่าหมอเป็นอาชีพที่พิเศษสำหรับผม ตรงที่หมอต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเป็นอย่างมาก (ดูจากทีวีซีรีส์ ER กับ Strong Medicine ของช่อง Hallmark เป็นตัวอย่างได้) ผมเลยสนใจคนเป็นหมอมากเป็นพิเศษ ถึงตัวเองจะเรียนสายศิลป์ และไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถจะเป็นหมอเลย

กรณีที่ผมสนใจจริงๆ เห็นจะเป็นการที่หมอต้องรักษาคนที่เป็นศัตรูหรือมีความแค้นกับตัว อย่างใน WoH ซาอิก็ตั้งคำถามว่าตัวเองจำเป็นต้องรักษาก็อบลินที่เป็นศัตรูมั้ย หรือที่หมอซิลฟารักษายาฮีม ทั้งๆ ที่รู้ว่ายาฮีมเป็นคนของอารามสุริยเทพ และอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้โมโนแท้งลูกด้วย

นอกจากนี้ แม่หมอจะว่าไปก็เป็นตัวละครที่ทำให้การหนีตามกันของคนจรกับโมโนสะดวกโยธินเข้า เพราะมีที่พักและงานรอรับเรียบร้อย และเป็นตัวแทนของคนที่เสียคนสำคัญของตัวไปเพราะธรรมเนียมการสังเวยนี่ล่ะครับ


อสูรยักษ์ทั้งหลาย

ก็ขอพูดถึงแรงบันดาลใจอดีตของพวกเขาแบบคร่าวๆ นะครับ เพราะถึงสิบหกตัว เดี๋ยวกินเนื้อที่หน้ากระดาษ และตัวหลังๆ ก็มีบอกไปบ้างแล้ว ^^;;; โดยรวมคือตัวแรกๆ จะเป็นการเกริ่นปูพื้นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ถูกเลือก ไปจนตัวท้ายๆ กลับเป็นความรู้สึกของผู้ถูกเลือกและความสัมพันธ์ต่อคนอื่นมากกว่า

1. วาลัส
อืม...เป็นตัวที่อาภัพสมกับที่ร้องไห้เงียบๆ จริงๆ นะ เพราะเป็นตัวแรก ผมเลยใส่ฉากย้อนอดีตแบบคลุมเครือที่สุด ล่าสุดนี้ปรับแก้เพิ่มบทพูดลงไปอีกหน่อย ประมาณเสียงคนลึกลับบอกว่า "อย่าโกรธแค้นพวกเราเลย จำเป็นต้องมีผู้เสียสละ บลาๆๆ"...แต่เทียบกับตัวอื่นก็ยังน้อยมากอยู่ดี ^^;;;

2. ควอดราทัส
วัวพยายามแอบกินเนื้อวัว? พอไม่ได้กินเนื้อวัวเลยแค้นใจเลือกร่างเป็นวัว? o_O ซับซ้อนจริงแฮะ เอาเป็นว่าฉากของหมอนี่มีไว้เพื่อให้เห็นความเข้มงวดของการห้ามแหกกฎของผู้ถูกเลือกล่ะครับ กับการที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงพิธีสังเวยได้อยู่ดี

3. ไกอัส
เด็กหนุ่มร่างผอมสูงชะลูด เห็นองครักษ์ดวลดาบแล้วอยากฟันดาบกะเขามั่ง พอไม่ได้ฟันเลยเอาแท่งเหล็กมาบัดกรีติดกะมือตัวเอง? นี่ก็แสดงถึงขอบเขตกฎที่ห้ามผู้ถูกเลือกจับอาวุธ (เพื่อไม่ให้ด้านมืดกำเริบมาไล่แทงใครนั่นเอง)

4. เฟดร้า
สาวน้อยเก็บต่างหูระย้าไว้ถึงจะใส่ไม่ได้ ผมได้แรงบันดาลใจจากต่างหูให้เขียนเป็นสาวน้อยกำลังมีความรัก แต่เลือกจะแอบเที่ยวเล็กๆ น้อยๆ กับคนรักโดยไม่กล้าหนีไปอย่างถาวร เพื่อแสดงว่าผู้ถูกเลือกเองก็มีรักได้เหมือนกัน (ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ผู้ถูกเลือกหญิงทุกคนมีความรักเจริญรอยตามเธอหมดเลยแฮะ ^^;;; ) อ้อ ต่างหูแบบคล้ายๆ พวงหินนั้น ผมเคยเห็นดาราชาวญี่ปุ่นใส่จริงๆ นะครับ เป็นสายไข่มุกเล็กเรียงลงมาใหญ่ ยาวพาดบ่า เห็นแล้วสยองในความหนักเลยถ้าเป็นไข่มุกแท้

5. อาวิยง
ทีแรกว่าจะเป็นสาวน้อยผู้อยากเป็นนก แต่กลัวซ้ำกับโมโน เลยกลายเป็นลีโอนาร์โด ดาวินชี สเก็ตซ์ภาพนกแล้วเกิดชอบความทรงพลังของเหยี่ยว เลยเลือกเป็นนกเท่านั้นเอง

6. บาร์บา
ตอนถูกสังเวยต้องเป็นหนุ่มสาว คงไม่มีเคราได้แน่ๆ เลยเลือกเป็นแรงบันดาลใจว่า "อยากอยู่จนแก่ อยากมีหลาน อยากเล่านิทานให้หลานฟัง" เหมือนที่ตัวเองฟังจากท่านตา ซึ่งดูไปดูมา...ให้ความรู้สึกคล้ายท่านปู่โยเรนิดๆ แฮะสำหรับผม

7. ไฮดรัส
แรงบันดาลใจจาก "สีฟ้าที่บริสุทธิ์ที่สุด" ในการ์ตูนแนวผีสุดเก๋ากึ้กอย่างที่บอกมาแล้ว และอยากให้มีผู้ถูกเลือกชายที่มีแฟน (ถึงจะดูเหมือนเพื่อนสนิทกึ่งแม่) กับเขาบ้างครับ

8. คุโรโมริ
คอนเซ็ปต์ "กิ้งก่าไต่ถัง" เลยกลายเป็นเด็กมีเพื่อนเป็นกิ้งก่าในถัง ประมาณว่า คนเขาไม่คบน่ะ (ล้อเล่นครับ) ^^;;;

9. บาซารัน
อาจฟังดูคิดไปเอง...แต่ผมว่าหน้าตาบาซารันชวนให้คิดว่าเจ้านี่มันขี้โมโห ไม่น่าเข้าใกล้น่าดู เลยกลายเป็นเด็กหนุ่มท่าทางขวางๆ ต้องหันไปคุยกับเต่าแทนคน ^^;;;

10. เดิร์จ
ผมคิดว่าหมอนี่ต้องขี้เล่นนะ...ขี้เล่นและชอบเล่นซ่อนหาไล่จับเอามากๆ เลยกลายมาเป็นเล่นซ่อนหาไล่จับมรณะอย่างนี้

11. ซีโลเซีย
กำหนดไว้แล้วว่าเธอกลัวไฟเพราะคนรักถูกเผาทั้งเป็น จึงออกมาเป็นอย่างนั้น เหตุที่ทางอารามต้องทำถึงขั้นนี้ก็เพราะทั้งสองละเมิดข้อห้ามไปแล้ว จะได้ตอกย้ำใจของคนจรด้วย

12. เพลาเจีย
นี่คือฉากอดีตยักษ์ที่ผมชอบที่สุด เพราะผมได้เขียนในมุมมองของคนตาบอดที่มองไม่เห็นภาพ ซึ่งแปลกจากคนอื่นๆ และผมชอบแนวรักใสบริสุทธิ์ที่ไม่พูดออกมาของเธอกับองครักษ์หน้าอสูรด้วย อย่างที่เคยบอกล่ะครับ ว่าผมให้เพลาเจียตาบอด เพราะไม่เห็นแสงของตาอยู่ที่รูในหน้ากาก (หวังเป็นอย่างยิ่งว่านั่นไม่ใช่รูจมูก ^^;;; ) จึงออกมาในรูปนี้

13. ฟาแลงซ์
คอนเซ็ปต์ของหมอนี่คือ "รักสงบ" เลยคิดไว้ว่าจะไม่ชอบต่อยตีกับใคร และไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นไอน์สไตน์สาย L เพราะผมเห็นว่ายังไม่มีผู้ถูกเลือกคนไหนเป็นที่รักของเด็ก (ฮา) ผมชอบบทของเขาเป็นลำดับสองรองจากเพลาเจียนะครับ

14. ซีโนเบีย
เพราะอสูรยักษ์ตนนี้ชอบวิ่งอัดโครม...อัดโครม บวกกับคนจรค้นพบวิธีเจรจากับอสูรยักษ์แล้ว ผมเลยอยากเขียนเป็น ผู้ถูกเลือกเสียสติ คนจรจะได้ใช้วิธีเดิมไม่ได้อีก (ทรมานพระเอกซะงั้น) ที่ให้เป็นผู้หญิงก็เพราะชื่อซีโนเบีย และเพราะช่วงเวลาใกล้ๆ กับท่านเอมอนตอนหนุ่ม เลยให้แอบรักท่านเอมอน สร้างความรู้สึกผิดในใจท่านเอมอนด้วยเลย

15. อาร์กัส
ว่าจะให้เป็นผู้ถูกเลือกที่บุคลิกเหมาะถือดาบ และแม้คุยกับคนจรรู้เรื่องก็คิดว่าตัวเองมีหน้าที่ที่จะต้องป้องกันไม่ให้ปีศาจอย่างดอร์มินปล่อยอสุรเทพสำเร็จ จึงเป็นเช่นนี้ครับ น่าเสียดายที่ตอนนั้นคนจรอาจยังไม่ถึงบ้างอ้อว่าแม่หมอกับพ่อเฒ่าเป็นอะไรกัน ไม่อย่างนั้นอาจยกเรื่องมาคุยก็ได้ว่ารู้จักพ่อแม่ของเขานะ บางทีคราวนี้อาจจะยอมฟังก็ได้

16. มาลัส
เป็นโมโนเพราะใส่กระโปรง และโมโนกลัวว่าด้านมืดในตัวซึ่งฉลาดกว่าคนอื่นๆ อาจพยายามหาทางหนีออกมา เลยขอให้ทำเป็นยักษ์เดินไม่ได้ ยืนตากฝนทำมิวสิครอพระเอกซะงั้น ^^;;; เปลี่ยนจากที่อยากเป็นนกการเวกไปโข


บ้านใกล้เรือนเคียง

และแล้วก็มาถึงตัวประกอบในสามชุมชน หมู่บ้านทางใต้ของซาเกรดา โซล เผ่าอัสลาน และหมู่บ้านชายแดนทางเหนือ แต่ละเมืองก็มีตัวประกอบเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมขอพูดถึงนิดนึงครับ

หมู่บ้านทางใต้ของซาเกรดา โซล

เหล่าตัวประกอบในเรื่องหลักจะเป็นพวกองครักษ์ประจำอารามเป็นหลัก คือไบคาล โซเรยู ฮาวาลิม เปราห์ ถ้าในเซ็ทอดีตของยาฮีมก็จะมีพ่อเลี้ยงยาซีน คุณแม่ดินาห์ ครอบครัวของทั้งสอง ชินูยา (วัยหนุ่ม) คุณพ่ออูเนเก็น ท่านปู่โยเร ซึ่งคนหลังมีผลต่อในชีวิตของโมโนด้วย

องครักษ์ทั้งสี่ผมคิดมาพร้อมกัน วางให้ไบคาลเป็นคนเลือดร้อนชอบพูดเล่น โซเรยูสุขุมกว่า จะได้ใช้สองคนนี้มาถกอดีตของยาฮีมให้คนจรแอบฟัง ส่วนฮาวาลิมกับเปราห์ค่อนข้างอาภัพ เพราะไม่เห็นบุคลิกเท่าไหร่ ^^;;;

พ่อเลี้ยงยาซีน ได้ต้นแบบบางส่วนจาก หวู่ชิง เจ้าสัวในหนังเรื่อง The Joy Luck Club จากนิยายของเอมี่ ตัน

[SPOILERS]หวู่ชิงเป็นพ่อเลี้ยงของตัวละครตัวหนึ่งคือ อันเหม่ย เจ้าของฉากสุดน่ารังเกียจ ปลุกลูกเลี้ยงวัยเด็กที่นอนอยู่ข้างๆ แม่ เพราะต้องการอะไรคงไม่ต้องอธิบายมาก - -;; บทพูดสุดกระแทกใจผม จนอยากฟาดบาทากระแทกปากคนพูดให้รู้แล้วรู้รอดคือคำของหวู่ชิงตอนแม่ของอันเหม่ยบอกว่า "แต่ลูกฉันอยู่ด้วยนะคะ" ว่า "งั้นก็ไล่มันไปสิ หรือจะให้มันดู" นี่แหละ (เป็นฉากที่ไม่มีในหนังสือ แต่แสดงความเลวของตัวละครตัวนี้ได้ดีสุดๆ) ผมคิดว่าความกักขฬะของยาซีนมาจากเจ้าตัวนี้ค่อนข้างมาก และถ้าทราบ วีร (เวร) กรรม ของมันไม่ว่าจากหนังหรือนิยายจะอยากฆ่ามันตะหงิดๆ ยิ่งกว่านี้[END SPOILERS]

ครอบครัวของยาซีนก็พอกัน เป็นพวกพูดจาภาษาเงิน แถมเจ้าคิดเจ้าแค้นแรง ตามราวีดินาห์กับอูเนเก็นแบบไม่ละเว้นเลย

ด้านดินาห์ ผมได้ต้นแบบบางส่วนจากแม่ของอันเหม่ย ซึ่งจำใจแต่งงานกับหวู่ชิง และจากเกด ใน "เรื่องของเกด" นิยายชีวิตผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่งของสุวรรณี สุคนธา ที่ต้องมีชีวิตแต่งงานอันไม่เป็นสุขครับ ครอบครัวของดินาห์คงคล้ายๆ กับครอบครัวแม่ของอันเหม่ย [SPOILERS]ที่ไม่ยอมรับการที่แม่ของอันเหม่ย ละทิ้งธรรมเนียมของหญิงม่ายไปแต่งเป็นอนุภรรยาของหวู่ชิง โดยไม่เข้าใจเลยว่าจริงๆ แล้วแม่ของอันเหม่ยถูกข่มขืนและตั้งครรภ์ จึงไม่มีทางเลือกอื่น ยายของยาฮีมก็มีแบบจากอาม่าของอันเหม่ยที่ด่ากราดไม่ยอมฟังเหตุผลของลูกล่ะครับ[END SPOILERS]

อูเนเก็นก็เป็นหนุ่มเลือดร้อนคล้ายๆ คนจร ส่วนชินูยาก็เป็นเพื่อนที่ดูยังไงก็เหมือนพี่อีกฝ่ายมากกว่า เพราะสุขุมเยือกเย็นกว่ามาก

ท่านปู่โยเร อืม...บทยังไม่มากเลย ^^;;; แต่คงเป็นเหมือนคนที่พยายามจะดูแลโมโนกับยาฮีมให้เหมือนญาติคนหนึ่งที่สุดที่จะทำได้มากกว่าพระเถระครับ เหมือนธรรมเนียมความนิยมของผมที่ชอบเอาตัวละครสูงอายุมาประกบให้คำแนะนำเด็กๆ ไว้น่ะครับ ^^;;;

ผู้ิอ่านบางท่านอาจแปลกใจว่าสมัยยาฮีมยังเด็ก ยาฮีมกับแม่แทบกลายเป็นส่วนเกินของหมู่บ้านไปแล้ว แต่ทำไมตอนที่คนจรมาเยี่ยมหมู่บ้าน ชาวบ้านถึงดูเหมือนจะยอมรับคนจรดี (ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเคยมีเหตุระแวงว่าชาวเผ่าอัสลานอีกคนอาจเคยฆ่าคนในหมู่บ้านนี้มาก่อน) กับโมโนก็ไม่ได้ปล่อยเรื่องอาภัพของครอบครัวของเธอออกมาให้ระแคะระคายสักนิด ตรงนี้เป็นเพราะความกลัวกลายๆ น่ะครับ เพราะหลังจากโมโนเกิดไม่นาน ไร่ของครอบครัวยาซีนก็โดนไฟไหม้วอด ทำให้มีคนกลัวว่า "หรือจะเป็นความแค้นของผู้ถูกเลือก" จึงได้ระมัดระวัง พินอบพิเทากับโมโนมากกว่าปกติ ไม่หาเรื่องยาฮีมอีก และเผื่อแผ่มาแสดงอัธยาศัยดีกับคนจร (ในกรณีคนที่รู้เรื่องในอดีต) ด้วย เพราะเห็นว่าคนจรเหมือนจะเป็นคนที่มีความสำคัญสำหรับโมโนไม่น้อย

เผ่าอัสลาน

บ้านแสนสุขของคนจร ห้อมล้อมด้วยญาติๆ ที่แสนใจดี แต่น่าเสียดายมากที่ผมต้องทำลายเผ่านี้เสียราบคาบ เพราะผมออกจะชอบวัฒนธรรมเผ่าที่เรียบง่าย และบางครั้งดูเจริญในด้านจิตใจมากกว่าเมืองใหญ่ด้วยซ้ำ

พ่อของคนจรมีคอนเซ็ปต์ว่า "สด" แท้ๆ อิงจากอิชชิน พ่อของอิจิโกะในการ์ตูนเรื่องบลีชในด้านหนึ่ง นิสัยรึก็ดูเข้มเย็นพูดน้อย แต่มองลูกชายออกทะลุพรุนเป็นฟองน้ำเลย ^^;;; แต่เรื่องน่าเสียดายคือคงเพราะคนจรเกรงๆ พ่ออยู่ จึงไม่ได้สนิทเท่าที่ควร คิดว่าพ่อของคนจรก็คงเปลี่ยนไปหลังจากเสียแม่ด้วย

เซลุย พี่ชายนิสัยดีแต่บทน้อย ได้แรงบันดาลใจจาก เฮ็คเตอร์ สุดยอดเจ้าชายนักรบแห่งทรอย (ถ้าอย่างนั้นจอห์นก็เป็นปารีส ที่ไปลักตัวโมโนที่เป็นเฮเลนมา จนเกิดหายนะกับพวกพ้องสินะ...) ผมเองก็เสียดายอยากเพิ่มบทมากกว่านี้ แต่พอคำนึงถึงความสมจริง เห็นที่จะให้คนจรพบพี่ชายกับพ่อทั้งสองคนก่อนตายลำบากมาก เพราะเหตุที่เป็นไปได้น่าจะเป็นนักรบถูกตีแตกตายเยอะ เหลือรอดมาน้อยเต็มทีถึงต้องหาใครสักคนที่สภาพยังดีพอจะไปพาพวกผู้หญิงกับเด็กหนีไปได้ เลยต้องเลือกพ่อมาก่อน เพราะพ่อลูกคู่นี้มีปมที่คลายไม่ลงยิ่งกว่าพี่ บวกกับสร้างความคาดหวังที่คนจรเจ็บปวดเพราะทำตามไม่ได้เลยด้วย

เออร์เดเนคืออันโดรมาคี ชายาของเฮ็คเตอร์ ภรรยาแสนดีที่น่าสงสาร และตัวแทนของผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับภัยสงคราม แต่บทออกจะน้อยไปนิดจึงยังเทียบเคียงกันไม่ได้มาก

หนูน้อยนาร์มันดา หรือซาน่า ก็เป็นตัวแทนของเด็กเผ่าอัสลาน ทีแรกผมไม่ได้คิดว่าเธอจะรอดนะครับ แต่พอเปลี่ยนให้พ่อเฒ่าเป็นแฟนแม่หมอ ผมก็เลยคิดว่า ถ้าให้ทั้งสองได้ช่วยชีวิตเด็กสักคนมาเลี้ยงดู ก็น่าจะเป็นการให้ความหวังที่สุขใจกว่าทิ้งให้ชาวเผ่าอัสลานต้องตายกันหมด ก็เรียกว่าต้องขอบคุณการเปลี่ยนบทพ่อเฒ่าล่ะครับ :)

หมู่บ้านชายแดนทางเหนือ

อันที่จริง ทั้งหมู่บ้านผมได้แรงบันดาลใจยกเซ็ทจากหมู่บ้านลอร์ดเลค ของเกมซุยโคเด็น 5 ตั้งแต่หมอซิลวาที่เป็นหมอประจำหมู่บ้านนี้ ชาวไร่ชื่อเกช กับเด็กชื่อโทมา (ถึงทั้งสองจะไม่ได้เป็นพ่อลูกกันในเกม) แถมคนจรยังเกริ่นๆ ว่าจะพาโมโนไปเที่ยวทะเลสาบ ตรงกับที่หมู่บ้านลอร์ดเลคมีทะเลสาบใหญ่ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความสวยด้วย ส่วนคาอิล (ไคล์) กับมารินา ก็เป็นชื่อตัวละครในเกมนี้อีกสองตัว แต่ไม่ได้อยู่ที่ลอร์ดเลคครับ ก็อยากให้นี่เป็นที่ที่คนจรกับโมโนจะได้อยู่ด้วยกันอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะพบกับความเครียดระลอกใหญ่จี้มาติดๆ ดังนั้นเลยเจอชาวบ้านนิสัยดีตามประสา กู้นิสัยพวกทหารที่มาไล่ถล่มเผ่าอัสลานหน่อยว่าคนประเทศนี้ใช่จะเลวหมด

แต่ก็ไม่แน่นะครับ กลัวๆ เหมือนกันว่าถ้ารู้ว่าคนจรกับโมโนจริงๆ ไม่ได้เป็นญาติของหมอซิลฟา และเป็นชาวอะไร ชาวบ้านอาจไม่ต้อนรับดีขนาดนี้ก็ได้แฮะ


ฟู่...เป็นอันว่าจบสำหรับตัวละครแต่เพียงเท่านี้ครับ เหมือนเรื่องตัวละครน้อย แต่นับจริงๆ ไม่น้อยเลยแฮะ ^^;;;