Behind the Passion…

ขอขอบคุณภาพประกอบจากคุณ Blue Mouse ครับ J

กล้องโคลสอัพใบหน้าของดาร์คโมโน

"...ต้องการข้าไหมคะ" โมโนถามเสียงหวาน

กล้องตัดกลับมาที่คนจรทำหน้างงสุดขีด แล้วก็สะดุ้งเฮือก

"ถ้าไม่พูด...ข้าก็ไม่ไปต่อนะ"

"ต...ต้องการสิ" คนจรตอบแทบปนหอบ (“ตรงนี้ไม่ต้องโคลสอัพหน้าเจ้าจอห์นมันหรอก ดูหื่นไปเดี๋ยวเรตติ้งพระเอกตก”...เสียงกระซิบของผู้กำกับ)

หนูดาร์คโมเงยหน้าขึ้นยิ้มยั่วๆ (“อันนี้โคลส”)

"ต้องการแค่ไหน"

กลับมาหน้าจอห์น (“ระยะใกล้พอเป็นพิธี”)

คนจรเริ่มเผยอริมฝีปากจะตอบ แต่ทว่า...

...แปะ...แปะ...

เสียงน้ำหยดและสีหน้าเซ็งเป็ดแบบไม่เข้ากับฉากของพระเอกเรียกเสียงร้องของผู้กำกับ ซึ่งผ่านการขยายโทรโข่งเรียบร้อย

“ค้าทททท!!”

เสียงปิดกล้องกับอุปกรณ์ต่างๆ เสียงบ่นงึมงำของทีมงาน ทำนองว่า “อีกแล้วเหรอฟะ” “จะยี่สิบเทคแล้วนะเฟ้ย” “เลิฟซีนก็เงี้ย ไอ้จอห์นกะทำกำไรล่ะสิท่า” (กระทั่งคนจรแอบนึกในใจว่าถ้าเลิฟซีนกับหนูโมจะไม่เถียงเลย แต่นี่...กับดาร์คโมโน ขอยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่ายิ่งถ่ายยืดเยื้อ เขานี่แหละที่ยิ่งขาดทุน) และเสียงจ๊วบๆ ปริศนาดังไปทั่วบริเวณ

ทว่าทุกเสียงยกเว้นเสียงหลังเงียบลงเมื่อพระเจ้าอนิธิน ผู้กำกับผู้กุมชะตาและกระเป๋าตังค์ของทุกชีวิตในกองถ่ายกรอกใส่โทรโข่งอีกครั้ง

“จอห์น!! มีคำแก้ตัวสำหรับคราวนี้มั้ย!!”

เด็กหนุ่มส่งสายตาขวางๆ ไปให้เด็กสาวที่กำลัง...ละเลียดหวานเย็นรสโค้กที่เหลืออยู่ครึ่งแท่ง (นัยว่าสร้างซาวดน์เอฟเฟกต์) สีหน้าของเจ้าหล่อนดูแสนจะเพลิดเพลินกับไอติมแท่งนั้นเสียจนลืมเสียงคัทของผู้กำกับและรังสีอำมหิตจากนักแสดงร่วม

“ผู้กำกับสั่งคัทแล้ว”

เจ้าหล่อนชายตามามอง แล้วก็ลอยหน้าลอยตาแทะไอติมต่อ

“เหรอ”

จอห์นยังคงแผ่รังสีอาฆาตด้วยความถี่ซ้ำๆ จนดาร์คโมยักไหล่

“ไม่ได้หมายความว่าชั้นต้องเลิกกินไอติมนี่”

“นี่ แม่คุณ” เด็กหนุ่มเน้นเสียงหนักๆ “จะบริโภคไอติมกี่แท่งก็ไม่ว่าหรอก แต่กรุณาอย่ามานั่งกินบนพุงคนอื่นจะเป็นพระคุณยิ่ง”

ดาร์คโมค้อนขวับ บ่นงึมทั้งที่ไม้ไอติมยังคาปาก แต่ก็ยอมลุกขึ้นโดยดีก่อนจะก้าวฉับๆ ไปสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ (เทียม) ฟูฟ้องสีชมพู (ซึ่งเป็นของดาร์คโมคนเดียวเท่านั้น เวลากลับเป็นหนูโมจะเกิดอาการผื่นขึ้นไม่กล้าใส่เสื้อตัวนี้)

คนจรเองก็ลุกขึ้นนั่งเกาหัวแกรก รอรับผู้กำกับที่โคลงหัวเดินเข้ามาพร้อมกับไอติมรสสไปรท์ในมือข้างหนึ่ง และโทรโข่งในมืออีกข้าง

“เป็นอะไรของนาย”

“เรื่องเฉพาะหน้าที่สุด” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับชี้หยดโค้กที่แหมะเป็นทางบนหน้าท้อง “ดาร์คโมโนจะทำน้ำไอติมหยดใส่สะดือผมอยู่แล้ว เดี๋ยวผมก็ได้ติดเชื้อจากน้ำลายเจ้าหล่อนหรอก”

อันที่จริง ความหมายแฝงที่เขาไม่กล้าบอกผู้กำกับคือ ‘ยัยนั่น (รวมทั้งคนอื่นๆ) กินไอติมยั่วผมมากี่แท่งแล้ว ผมยังไม่ได้แอ้มเลยซักไม้เดียว’

“ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกน่า” อนิธินแย้งพร้อมกับโบกมือไปทางแม่หมอซิลฟา ซึ่งกำลังละเลียดหวานเย็นอีกแท่งอยู่นอกฉาก แต่เป็นรสแฟนต้าน้ำส้ม “หมอประจำกองถ่ายเราเก่งออก เทคก่อนๆ โดนอะโกรดีดซะดั้งหักยังซ่อมได้~เลยนี่นา”

เออ ไม่เถียงว่าซ่อมได้ แต่ถึงซ่อมได้มันก็ยังเจ็บเฟ้ย

“แล้วก็เรื่องสำคัญกว่านั้น” คนจรตอบเซ็งๆ “ผม เหนื่อย แล้ว”

“ก็รู้ว่าเหนื่อยแล้ว เลยอุตส่าห์เอาไอติมมาเป็นตัวช่วย (???) ไง” คนตอบว่าพลางโบกแท่งไอติมในมือ

“มันเกี่ยวกันซะที่ไหนเล่า!” นักแสดงนำแทบโวยใส่ผู้กำกับ “ผมเมื่อยเหนื่อยเพลียล้าละเหี่ยจิต แถมง่วงอยากนอนเต็มแก่ นี่เราถ่ายตั้งแต่สามทุ่มจะตีสามได้แล้วนะ!!”

“แต่นายก็รู้นี่ว่าฉากนี้ถ่ายได้แต่ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ถ้าไม่ถ่ายคืนนี้ก็ต้องไปถ่ายเอาเดือนหน้าเลยสิ”

“ให้ฝ่ายศิลป์อาวิยงวาดพระจันทร์เต็มดวงให้ซะก็สิ้นเรื่อง” เด็กหนุ่มโต้

“เทคนิคพิเศษยังไงก็สู้ของจริงไม่ได้หรอก นี่อุตส่าห์ให้ฟาแลงซ์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำคราสให้ก็ถือว่ากรุณาแล้ว”

คนจรกลอกตา ถอนใจเฮือก

“งั้นขอผมพักกินไอติมบ้าง แล้วจะถ่ายต่อ”

“เอางั้นก็ได้” ผู้กำกับอนิธินยกไอติมขึ้นจ่อปากเตรียมจะตะโกน แต่แล้วก็ระลึกชาติได้ก่อน เลยเปลี่ยนเป็นยกมือที่ถือโทรโข่งขึ้นแทน “ให้เวลาพักสิบนาทีแล้วถ่ายต่อ!!”

ว่าแล้วบรรดาทีมงานที่ต้องประจำที่ก็เฮละโลกันไปหน้าเคาน์เตอร์ถังเขย่าไอติม กระทั่งคนจรที่หมายใจจะรีบกินไอติมเป็นคนแรก (แต่ติดที่ต้องรีบไปล้างคราบน้ำไอติม และควานหาเสื้อคลุมมาสวมทับบ็อกเซอร์ตัวเดียวที่ใส่เข้าฉากก่อน) ยังพบตัวเองอยู่หางแถว มิหน้ำซ้ำข้างหน้ายังเป็นควอดราตัส คนขนฉากและอุปกรณ์ตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม ตัดโอกาสแซงไปด้วยรอบเอวที่หนากว่าปกติถึงสามเท่า

เขาเลยต้องดูเฟดร้ากับแฟนองครักษ์ที่เป็นฝ่ายเครื่องประดับและช่างแต่งหน้าเดินเกี่ยวก้อยกินไอติมจากไป องครักษ์หน้าแฟนธ่อมจากฝ่ายเจเนอรัลเบ๊จูงเพลาเจียฝ่ายมิกซ์เสียงจี๋จ๋าแถมช่วยป้อนไอติมให้อีก ไบคาลกับแฟนมันที่เป็นแค่ตัวประกอบก็ผลัดกันกัดไอติมแลกกันคนละคำ จะหมดทั้งสองแท่งอยู่แล้วกว่าจะถึงคิวของเขาเมื่อห้านาทีต่อมา

น่าเสียดาย ถ้าคืนนี้เข้าฉากกับโมโน จะควงมากินไอติมด้วยกันแบบดูดดื่มหวานจ๋อย กะให้คู่อื่นอายแทรกแผ่นดินไปเลย

“เอารสอะไรจ๊ะจอห์น” เออร์เดเน แม่ครัวประจำกองถ่ายถาม ขณะที่เซลุยผู้เป็นสามีเขย่าถังแช่ไอติมไป ไกวเปลลูกไป

“มีโค้กมั้ยครับพี่”

“เอ้อ น้ำอัดลมหมดทุกรสจ้ะ เหลือแต่น้ำแดงเฮลบลูบอย น้ำฟ้าเฮลบลูเมาส์กับน้ำเขียวเฮลบลูมูนน่ะ”

เด็กหนุ่มคอตกทันควัน

“...เฮลบลูเมาส์ก็ได้ครับ”

เซลุยหยิบหวานเย็นสีฟ้าใสแท่งหนึ่งจากถังแช่ ยังไม่วายเปรย

“มาช้าไปหน่อยเดียวเอง คนเอาโค้กแท่งสุดท้ายเพิ่งมาก่อนหน้าเราแค่คนสองคนเองมั้ง”

...เหอ...

พระเอกหนุ่มที่กำลังจะเลียไอติมชะงักไปทันที


คนจรพบตัวเองไล่ล่าตามหาโค้กหวานเย็นแท่งสุดท้ายในเวลาสองนาทีต่อมา เริ่มด้วยการตามไปถามควอดราตัส (กึ่งปลอบว่าเขาไม่ได้จะมาแย่งไอติมเฮลบลูบอย เฮลบลูเมาส์ และเฮลบลูมูนอย่างละสองแท่งที่อีกฝ่ายนำมาต่อหอคอยสลับกันจนดูคล้ายสัญลักษณ์ช่องเจ็ดสี) ว่าคนที่เข้าแถวอยู่ข้างหน้าเด็กหนุ่มร่างใหญ่ (และอาจเป็นคนแย่งโค้กคนสุดท้าย) น่ะใคร

และคำตอบก็คือ...คนที่กำลังเอาหน้าจ่อเบอร์เซิร์กเล่มที่ 29 (ออกใหม่ล่าสุด) อย่างสบายอารมณ์ ถือไอติมโค้กแท่งสุดท้ายซึ่งยังไม่ทันได้แตะต้อง

...ยังไม่ทันได้แตะต้อง...

...ยังไม่ทันได้แตะต้อง...

...ยังไม่ทันได้แตะต้อง...

เยส!!

เด็กหนุ่มฉากหลบไปกำหมัดเหวี่ยงแขนหลังต้นไม้ สำเร็จแล้วๆ แต่แล้วเขาก็นึกได้ว่าจะสำเร็จได้ยังไง ในเมื่อถึงจะยังไม่ได้แตะต้อง มันก็อยู่ในกำมือของคนอื่นที่ไม่ใช่เราอยู่ดี

นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาจะแอบ “สับเปลี่ยนไอติม” เดี๋ยวนี้ล่ะ

ยามยาฮีมตกอยู่ในห้วงภวังค์เบอร์เซิร์กก็เหมือนเข้าฌาน ผู้กำกับเคยใช้เดิร์จมาตามไปเข้าฉาก แต่เจ้าเบาจืดก็เฉยเป็นรูปปั้นจนเด็กหนุ่มหัวเสีย กลายร่างเป็นยักษ์หนอนทรายมาลากเขาลงดินไปครึ่งตัวแล้วยังไม่เลิกอ่าน สองคน (หรือที่ถูกควรเป็นสาม) ที่เรียกยาฮีมออกจากโหมดอินเบอร์เซิร์กได้ก็มีแต่คุณแม่ดินาห์ โมโน กับดาร์คโมโนเท่านั้นเอง

ในทีแรกเขาคิดว่าจะขอเจรจากับเจ้าของไอติม แลกโค้กแทนเฮลบลูเมาส์ แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นยาฮีม เล่นแบบนี้คงสะดวกกว่าเจรจาเยอะ

คนจรจึงกลั้นใจเกร็งพลังดัชนี เอื้อมมือออกไปหมายหยิบหวานเย็นสีน้ำตาลที่เห็นล่อเด่นชัด ด้วยความเร็วชั่วพริบตา!!

แต่ยังช้ากว่าคลื่นเสียงหวานๆ ที่ทำเป้าหมายเคลื่อนเฉียดไปเพียงปลายนิ้ว

“คุณพี่ยาฮีมขา

ก้อนฟูๆ สีชมพูแปร๋นลอยเด่นมาแต่ไกล เหนือก้อนนั้นคือดวงหน้าหวานหยาดที่ทำเอาคนโดนเรียกเงยขวับ และคนกะฉกไอติมถอยเข้าหลังต้นไม้แทบไม่ทัน

“มีอะไรเหรอ” เบาจืดกลั้นใจถาม ส่วนจอห์นนั้นแอบเมียงมอง เห็นดาร์คโมโนยืนเท้าสะเอวมือหนึ่ง อีกมือถือไอติมแท่งสีฟ้าแบบเดียวกับเขา

“ขอแลกไอติมหน่อยสิ” เจ้าหล่อนเปิดฉากออดอ้อน “น้า~น้า เค้าอยากกินโค้กอ่ะ แต่ฝ่ายอาหารบอกว่ามันหมดแล้ว”

...กรรม... คนจรแทบอยากเอาหัวโขกต้นไม้

ยาฮีมไม่อิดออดเลยแม้แต่น้อย กลับพยักหน้าทันควันแล้วยื่นหวานเย็นแท่งที่ใครอีกคนหมายปองให้กับหนึ่งในสองน้องสาวตัวแสบอย่างง่ายดาย ประหนึ่งสุนัขคาบกิ่งไม้กลับไปให้เจ้านาย แล้วก็รับเฮลบลูเมาส์มายัดปากคำเดียวหมด

ก่อนที่คนชิงโค้กไปต่อหน้าต่อตาจะหมุนตัวกลับพร้อมกับดูดไอติมเสียงดังจ๊วบๆ ดั่งเยาะเย้ย ส่วนคนให้ไปก็ก้มหน้าลง กลับไปทัศนาซีลเก้ใส่ชุดเด็กหญิงชาวเมืองเพิ่มพลังโลลิเป็นเท่าทวี

และคนคาดหวังไอติมโค้กแท่งสุดท้ายก็ถลันมายืนค้ำคนนั่งอ่านเบอร์เซิร์ก แผดเสียงร้องโหยหวน

“แก๊---!! ไอ้เบาจืด!! เอาโค้กของตูไปให้ยัยนั่นทำม้ายยย---!!”

...ไม่มีสัญญาณจากหมายเลขที่ท่านเรียก...

“ไม่ต้องมาทำเป็นไม่สนใจเลย!! เอาโค้กตูคืนมานะเฟ้ย---!!”

...หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ...

“เอา โค้ก ตู คืน ม้าาาาา------!!”

เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตนพีคถึงขีดสุด มือของเขาเงื้อสุดแขนและฟาดลงบนกบาลอีกฝ่ายเต็มมือจนเกิดเสียงดังแผละ หยาดของเหลวกระเซ็นใส่หน้า

http://i23.photobucket.com/albums/b388/yumehourousha/sotcfic/GiveMyCokeBack.jpg

เปล่า มันไม่ใช่เลือด เพราะมันเป็นสีฟ้า สีฟ้ากระเซ็นเต็มหน้าเต็มมือคนฟาด และเต็มกระหม่อมคนถูกฟาด คนจรแค่นเสียงเมื่อยาฮีมไม่มีทีท่าจะใส่ใจน้ำหวานเย็นๆ บนหัว แล้วเลยถือคติว่า ‘อย่าโกรธคนบ้า (เบอร์เซิร์ก) อย่าว่าคนเมา (โลลิ)’ ตัดใจเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ไอติม ปลงอนิจจังว่าจะขอไอติมรสอะไรก็ได้ก็ตามที่เหลืออยู่มากินในเวลาที่เหลืออยู่

“หมดเวลาพัก!! ทุกคนเข้าประจำที่!!”

ทว่าดั่งฟ้ากลั่นแกล้งและผ่าเปรี้ยงกลางกระหม่อม ผู้กำกับประกาศขณะที่อีกก้าวเดียวก็จะถึงเคาน์เตอร์อยู่แล้ว

...บ้าที่สุด...!!!

เพลิงแค้นตรงเข้ารุมเร้าเด็กหนุ่ม พร้อมกับภาพของดาร์คโมโนที่นั่งไขว่ห้างละเลียดไอติมโค้กแท่งแล้ว...แท่งเล่าดังจ๊วบๆ อย่างไม่เกรงใจประชาชี ก่อนจะโยนไม้ทิ้งแล้วหัวเราะคิกคัก ทิ้งให้เขาได้แต่มองไม้ไอติมว่างเปล่าที่กองสูงขึ้น...สูงขึ้น กระทั่งทับท่วมตัวเขามิดหัวในที่สุด

“จอห์นโว้ยยย!! กลับมาเข้าฉากได้แล้ววว!!”

คนจรก้มหน้าลงหัวเราะหึๆ อย่างมืดมน ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังฉาก สองมือกำแน่น จ้องมองดาร์คโมโนที่ผัดแป้งแต่งหน้าใหม่เตรียมถ่ายทำต่อด้วยสายตาอาฆาตประหนึ่งอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้อีก

...แค้นนี้ต้องชำระ...


เทคต่อมาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง (อีกแล้ว) และหมอซิลฟาก็มีอันต้องปวดหัว รับคนไข้ถึงสามคนพร้อมกัน แถมยังเป็นตัวแสดงนำอีกทั้งสามคนต่างหาก

ดาร์คโมโนกลับกลายเป็นโมโน และกำลังร้องไห้อย่างหนักในสภาพเสียขวัญ

…รายนี้ต้องสั่งยาระงับประสาท จากนั้นก็ให้เมยา พี่เลี้ยงประจำตัวดาราพาไปพักผ่อนก่อน...

ส่วนยาฮีม น้ำหวานเฮลบลูเมาส์เลอะเต็มหัว เรียกมดมาจัดปาร์ตี้ตอมและกัดอย่างสนุกสนานจนเป็นตุ่มแดงเต็มไปหมด โดยที่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ตัวว่าน้ำหวานมาอยู่บนหัวตัวเองเมื่อไหร่และยังไง (แต่เขาก็ยังคิดว่ายังโชคดีที่หนังสือเบอร์เซิร์กไม่ได้เลอะน้ำหวานไปด้วย)

…รายนี้ล้างแผล สระผม และสั่งยากันแพ้กับบาล์มแก้ระคายเคืองไปทา...

ทว่าคนจรนั้นมีรอยกัดที่ไหล่แบบจมเขี้ยวสองรอย แต่อะไรก็ไม่ร้ายเท่าสลบเหมือดตาค้าง ทั้งๆ ที่ยังพึมพำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “เอา...โค้ก...ตู...คืน...มา...ๆ...ๆ..ๆ.ๆ”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นรึผู้กำกับ” หญิงชราอดถามไม่ได้ ขณะถ่างเปลือกตาพระเอกหนุ่มส่องไฟดูพลางละเลียดไอติมแท่งรสเฮลบลูเมาส์

“ก็เจ้าจอห์นน่ะสิ เกิดบ้าอะไรไม่รู้” ผู้กำกับนั่งกุมขมับ ทำท่าจะกลายเป็นคนไข้ขอยาแก้ปวดหัวรายที่สี่ “เทคนี้กำลังไปได้สวย กะจะชมอยู่เชียวว่ามันเล่นได้รุนแรงสมบทบาท แต่จู่ๆ มันก็เอามือไปบีบคอดาร์คโมโน แล้วก็ตะคอกว่า ‘เอาโค้กตูคืนมา’ ซ้ำๆ อยู่นั่นแหละ ‘โมโน’ อีกคนหนึ่งแม้จะตกใจแต่ก็พยายามสู้กลับ ฝังเขี้ยวเข้าที่ไหล่ของเขาแล้วกัดเต็มแรง...” เขาเล่าไปแล้วชักอิน

“ไม่ต้องเล่าเป็นภาษานิยายก็ได้ คร่าวๆ ก็พอ” แม่หมอดักทางไว้ก่อน

“เอ้อ...อืมๆ สรุปคือเสียงหนูดาร์คร้องดังลั่นกองถ่าย ทำเอาเบาจืดเลิกอ่านเบอร์เซิร์กแล้ววิ่งแจ้นเข้ามาเอาไม้หลาวฟาดกกหูจอห์นจนสลบคาไม้ แต่พอจอห์นสลบไปแล้ว หนูดาร์คก็แบตหมดกลับเป็นหนูโมพอดี หนูโมพอเห็นจอห์นเป็นอย่างนั้นก็ตกใจ ร้องไห้ไม่หยุดจนถึงตอนนี้นี่แหละ”

“อ้อ” หมอซิลฟารับก่อนจะหันไปคว้าผ้าพันแผล “อย่างน้อยก็ไม่เป็นไรหรอก แค่หัวแตกเท่านั้นเอง แต่ที่พึมพำไม่เป็นภาษานี่ไม่รู้ว่าสมองจะกระเทือนแค่ไหน”

“ถ้าเอ๋อก็จับช็อตไฟฟ้า เดี๋ยวหายแล้ว” อนิธินกลับรับ “คนเขียนเป็นพระเจ้า บันดาลอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

ว่าแล้วเขาก็โบกมือ เรียกไอติมแท่งรสโค้กจากอากาศว่างเปล่ามาละเลียดกินเองไม่ให้ปากว่าง นั่งทำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะตบเข่าดังฉาด แต่ดันไม่ใช่เข่าตัวเอง เป็นเข่าจอห์นที่ยังโคม่าไม่รู้เรื่อง กระเทือนการทำแผลของหมอซิลฟาจนแม่หมอหันมาปรายตาดุๆ ทว่าคนถูกตบไร้สติเลยไม่โวยวาย ส่วนคนตบเข้าอาการระลึกยูเรก้าไปแล้ว เลยไม่ทันเห็นสัญญาณเตือน

“บ๊ะ! แล้วทำไมเราไม่คิดตั้งแต่ตอนนั้นหว่า!!”

“คิดอะไรรึ” หญิงชราถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ก็...ถ้าคนเขียนเป็นพระเจ้าในเรื่องที่ตัวเองเขียน ผมจะสั่งให้ฟ้ามันค่ำเมื่อไหร่ก็ได้ ให้พระจันทร์เต็มดวงเมื่อไหร่ก็ได้” ผู้กำกับเกาหัว (คราวนี้เป็นหัวตัวเอง ไม่ใช่หัวเหนียวๆ ของเบาจืด) “แล้วตูจะทู่ซี้ถ่ายซ้ำยี่สิบเอ็ดเทคในคืนเดียวไปทำไมฟะ”

หมอซิลฟายักไหล่น้อยๆ ด้วยความที่อายุมากแล้ว เธอเลยมีความเข้าใจอะไรๆ มากกว่าพระเจ้าหนุ่มของโลกนี้จนไม่ต้องเอ่ยถาม

คนอยากถามจริงๆ คงเป็นคนจร ซึ่งโอ้ว่าอนิจจาความแค้นทำเอาน็อคเอาท์ไปแล้ว เลยไม่สามารถรับรู้อะไรได้ในขณะนี้

- The End -


Note: ว่าจะเขียนแซวสั้นๆ ยาวจนได้ ^^;;; ก็ถือเสียว่าเป็นตอนฮาๆ บ้าๆ ไร้สาระว่า “เบื้องหลังราคะคือความแค้น...และเบื้องหลังความแค้นคือไอติม” แล้วกันขอรับ

ขออนุญาตยืมชื่อคุณ Blue Mouse กับคุณ Blue Moon มาใช้เป็นยี่ห้อน้ำหวานนะขอรับ ^^

และ...กองถ่ายของตำนานคนจรฯ เป็นเช่นนี้ล่ะขอรับ นักแสดง=ตากล้อง=ทีมงานด้านอื่นๆ ใครที่ไม่ได้เข้าฉากก็ทำงานอื่น ไม่ก็เป็นเจเนอรัลเบ๊ไป ใช้งานกันจนคุ้มแบบหยดสุดท้าย ^^;;;