Wander and Mono's Side Story

Jealousy

 

เด็กสาวภาวนาขอให้เธอเพียงฝันร้ายไปเท่านั้น แต่อาการปวดศีรษะอย่างหนักกับปวดระบมตามร่างที่ปลุกให้เธอตื่นขึ้นเมื่อฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมม่วงกลับย้ำเตือนความจริงอีกอย่าง

 

เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เธอยังคงหลับสนิทเมื่อโมโนยันกายลุกขึ้นนั่ง ปาดคราบน้ำตาแห้งๆ ไปจากดวงตาบวมช้ำ ทุกครั้งที่ขยับตัวก็รู้สึกเหนอะหนะจนอยากอาบน้ำเป็นที่สุด แต่ก็รู้ว่าไม่ควรจะเดินออกไปจากที่พักตามลำพังโดยที่เขาไม่รู้ เลยได้แต่ปลอบใจตนเองให้ทนรอไปก่อน

 

ครั้นเลิกผ้าห่มมองสำรวจร่างกายของตน เธอก็พบรอยจ้ำประปรายไปทั่ว และที่ข้อมือก็ยังมีรอยแดงที่ถูกมัดจากเมื่อคืน

 

...รอยที่เธอไม่เคยคิดสักนิดว่าจะมีวันเกิดจากมือของพี่คนจร...

 

โมโนมองหาเสื้อผ้าของตนที่กระจัดกระจายไปตัวละทิศทางก่อนจะรีบแต่งตัว คว้ารองเท้าที่ถอดไว้นอกผ้ารองนอนมาสวม จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าหน้าซากของกองไฟ ห่างจากจุดที่พี่คนจรนอนอยู่สักระยะหนึ่ง

 

นัยน์ตาแดงก่ำทอดมองไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย น้ำตาชุดใหม่ไหลออกมาเมื่อภาพที่ตัวเธออีกคนหนึ่งฉายให้ดูจากความทรงจำยังหลอกหลอนไม่หาย

 

นั่นน่ะหรือตัวเธอกับพี่คนจร...ไม่ใช่เลยสักนิด เธอน่ะหรือจะทำตัวเหมือนหญิงร่านร้อนราคะอย่างนั้น เขาน่ะหรือจะใช้กำลังถึงขั้นจับเธอมัด จับต้องครอบครองเธอด้วยความรุนแรงแบบนั้น

 

น่าขำ! เจ้ามันก็แค่เด็กอมมือ เชื่อลมๆ แล้งๆ อยู่ได้ว่าของแบบนี้ต้องอบอุ่นนุ่มนวลด้วยความรัก เสียงเยาะเย้ยของอีกฝ่ายตามมา ที่จริงมันก็แค่สัญชาตญาณ แค่หาความสุขใส่ตัวเท่านั้นล่ะ

 

โมโนสั่นศีรษะแรงๆ

 

ไม่จริง! ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วความรักจะมีความหมายอะไร

 

นี่ไม่ใช่วิธีที่เธออยากให้ลูกของทั้งสองเกิดมา ทั้งในคืนแห่งคราส...และด้วยดำฤษณาเพียงอย่างเดียว ตามคำบอกของตัวเธออีกคนหนึ่ง...นี่คือวิธีที่สายโลหิตดำผู้สืบทอดอำนาจของอสุรเทพจะถือกำเนิดขึ้นพร้อมอำนาจยิ่งใหญ่กว่าผู้ใด

 

แต่เด็กคนนั้นก็ถือกำเนิดในครรภ์ของเจ้าแล้ว 'โมโน' อีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างมั่นใจ ข้ารู้สึกได้ ลูกของเรา...หมายถึงข้ากับพี่คนจร...ช่างแข็งแรงจริงๆ เขาคนนี้ล่ะที่จะกอบกู้เผ่าพันธุ์ของพวกเรา เจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าเด็กเกิดมาโดยไม่จำเป็นต้องมีความรักได้ง่ายดายยิ่งกว่าอะไร

 

น่าเสียดายอยู่อย่าง ถ้าเขาเป็นลูกของยาฮีม...อำนาจมืดในตัวคงแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้อีกมากเพราะมีสายเลือดเดียวกับเจ้า แต่ก็นะ เพราะเป็นลูกของพี่คนจรที่เจ้ารัก เจ้าถึงได้มีเหตุผลที่จะอุ้มท้องเขาไปให้ตลอดรอดฝั่งนี่นา เสียงที่โมโนได้ยินเริ่มทอดอ่อนหวาน เจ้าอยากมีลูกและเลี้ยงดูเขาให้เติบโตขึ้นไม่ใช่หรือ ได้มีลูกกับพี่คนจรน่าจะเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดสำหรับเจ้านะ

 

น่ายินดีที่ไหนกันเล่า! เด็กสาวค้าน ข้าไม่ได้อยากมีลูกในแบบนี้สักหน่อย!

 

อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยคำถามสั้นๆ ที่ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกตีแสกหน้า

 

หึงเหรอ

 

โมโนเบิกตากว้าง ระงับความแปลบวาบในใจไม่ทัน

 

นั่นสินะ ถึงเราจะมีร่างเดียวกัน เจ้าก็ไม่เคยทำให้เขามีความสุขได้ถึงขนาดนี้นี่ ได้แต่เหนียมอายเป็นเด็กไม่เข้าท่า น้ำเสียงนั้นบอกความหยามหยัน อยากฟังอีกไหมล่ะ...ว่าเขาพูดอะไรกับข้า อยากฟังด้วยเสียงของเขาเองเลยไหม

 

ข้าต้องการเจ้าที่สุด ต้องการแค่...โมโนคนนี้เท่านั้น

ข้าต้องการเจ้าที่สุด ต้องการแค่...โมโนคนนี้เท่านั้น

ข้าต้องการเจ้าที่สุด ต้องการแค่...โมโนคนนี้เท่านั้น

 

"...พอซะที..." เด็กสาวกระซิบพร้อมกับโคลงศีรษะ พอหลับตาลงก็ยิ่งเห็นภาพที่คอยตอกย้ำ ทว่าพอลืมตา หยดน้ำที่พร่างพรายก็เป็นเหมือนฉากสะท้อนภาพเดิมๆ ซ้ำสอง "เลิกทรมานข้าเสียทีได้ไหม!"

 

อ้า...ข้าไม่อยู่อีกนานนักหรอก เมื่อคืนนี้เล่นเสียหมดแรง ช่วงนี้คงออกมากวนใจเจ้าไม่ได้อีกพักใหญ่เลย

 

แต่หลังจากนั้นก็ไม่แน่...ถ้าเจ้ายัง 'มัดใจ' พี่คนจรไม่ได้ดีกว่าข้า คราวหน้าข้าจะกลับมาแย่งเขาไปจากเจ้าถาวรจริงๆ ด้วย

 

คำขู่นั้นยังฝังอยู่ในใจเธอไปตลอด แม้นหลังพยายามหยิบเสื้อของเขามาซ่อมไม่ให้ตนเองคิดฟุ้งซ่าน และแม้นหลังจากคนจรพยายามปลอบใจเธอทั้งๆ ที่ตัวเขาเองไม่รู้อะไรเลยก็ตาม

 


 

คำขู่ย้อนกลับมาในความมืดของคืนถัดมา เมื่อทั้งสองพักนอนในบ้านของหมอซิลฟา

 

น่าแปลกที่เธอแน่ใจว่าตนเองเหนื่อยอ่อนกับการเดินทางรอนแรม ยิ่งได้เจอเตียงนุ่มๆ แบบที่ห่างหายมานาน ก็น่าจะหลับไปได้ในไม่ช้า

 

แต่โมโนกลับคิดฟุ้งซ่าน ข่มตาของตนให้หลับลงไม่ได้ ถึงกับคนจรแล้วเรื่องเมื่อคืนดูเหมือนจะจบไปแล้วจริงๆ พอความมืดมาเยือนก็ยิ่งทำให้เธอหวนนึกถึงมันขึ้นมา

 

เด็กสาวปิดตาแน่น ถอนหายใจก่อนจะพลิกกายหันหลังให้อีกฝ่าย แล้วก็สะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงของเขาดังขึ้นโดยไม่คาดฝัน

 

"นอนไม่หลับหรือ"

 

"ค-ค่ะ" โมโนตอบ พลิกตัวกลับมาเห็นชัดว่าเขาลืมตา จ้องตรงมาทางเธอ "พี่คนจรก็เหมือนกันเหรอคะ"

 

"ฮื่อ" เด็กหนุ่มรับ "คงแปลกที่น่ะ"

 

"...ข้าก็เหมือนกัน"

 

ทั้งสองเงียบไปอีกครู่หนึ่ง คนจรก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

 

"เราไม่ได้นอนบนเตียงแบบนี้มานานเลยนะ ตั้งแต่คืนแรกที่อยู่ด้วยกันเลยด้วยซ้ำ"

 

"ค่ะ" โมโนรับเหมือนกับพูดอย่างอื่นไม่ออก

 

ความเงียบตรงเข้าครอบคลุมทั้งสองอีกครั้ง จนกระทั่งเด็กหนุ่มตัดสินใจเอ่ยเป็นครั้งที่สอง

 

"โมโน"

 

"คะ"

 

"ถ้าเจ้านอนไม่หลับล่ะก็..."

 

มือที่โอบร่างบอบบาง เลื่อนมาลูบไล้ที่ลำคอและแนวไหล่เหนือเสื้อนอนแทนคำพูด

 

ความรู้สึกขยะแขยงอย่างน่าประหลาดกลับท่วมท้นในใจ จนเด็กสาวต้องกลั้นใจจับมือเขาไว้ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตา

 

"ท่านยังเจ็บแขนอยู่นี่คะ"

 

"ไม่ได้เจ็บมากสักหน่อย" แม้ในความมืด ดวงตาของโมโนยังเห็นเขายิ้มน้อยๆ "หมอซิลฟาก็ไม่ได้ห้ามเรื่องนี้ด้วย"

 

"ม...หมอที่ไหนจะกล้ายุ่งเรื่องแบบนี้ล่ะคะ" เธอแย้งอ้อมแอ้ม

 

"เอาเถอะ ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ขึ้นอยู่กับเจ้านั่นแหละว่าตกลงไหม"

 

เด็กสาวก้มหน้าลงหลบสายตา นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง

 

"ข...ขอโทษนะคะ ข้า...เอ่อ..."

 

ถึงโมโนจะไม่อาจหาเหตุผลใดมาอ้างได้ อีกฝ่ายก็ชักมือกลับ ก่อนจะพูดง่ายๆ แม้นเธอจะฟังออกจากน้ำเสียงว่าเขาดูจะผิดหวังอยู่บ้าง

 

"ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าเข้าใจ เจ้าคงยังเหนื่อยอยู่"

 

"...ขอโทษค่ะ"

 

"ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ไม่ใช่ความผิดของเจ้าสักหน่อย"

 

เด็กสาวเลยเงียบไปอีกครู่หนึ่งขณะที่ความคิดแล่นพล่านในสมอง จนสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเรียก

 

"พี่คนจรคะ"

 

"หือม์"

 

"ถ้าหาก...เรา...ร่วมรัก...กันไม่ได้อีก..." เธอเอ่ยตะกุกตะกักด้วยความรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้า "...ท่าน...จะว่ายังไงคะ"

 

"ทำไมถึงถามอะไรแบบนั้นล่ะ" อีกฝ่ายกลับย้อนถาม

 

"ม...ไม่มีอะไรค่ะ" โมโนรีบปฏิเสธ แต่แล้วก็รีบคิดหาเหตุผล "ก็แค่...ท่านก็รู้ว่าข้า...มีโรคประจำตัว...ใช่ไหมคะ ถ้า...ถ้าอาการข้าทรุดหนักมาก ข้าอาจจะ..."

 

เธอทิ้งคำพูดค้างไว้พอให้เขาเข้าใจ และรอคำตอบอีกพักหนึ่ง

 

"ถึงอย่างนั้น..." พี่คนจรเอ่ยช้าๆ "ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะเลิกรักเจ้านี่"

 

"แต่...ก็เหมือนเราใกล้ชิดกันไม่ได้นี่คะ แล้วอย่างนี้...จะเรียกว่าเป็นคนรัก...เป็นสามีภรรยากันได้ยังไง"

 

"ก็จริง ไม่ใช่ว่าข้าจะเห็นว่าเวลาที่ได้ใกล้ชิดกับเจ้าไม่สำคัญนะ" เด็กหนุ่มขยายความ "แต่ถ้าเจ้าไม่สบาย หรือไม่มีความสุขด้วย...มันก็ไม่ใช่ร่วมรักน่ะสิ เพราะข้ารักเจ้าต่างหากถึงได้อยากร่วมรักกับเจ้า ไม่ใช่เพราะอยากมีอะไรกับเจ้าอย่างเดียวสักหน่อยถึงได้รัก เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก"

 

"ค...ค่ะ" โมโนพูดอย่างตื้นตัน "ขอบคุณมากนะคะ"

 

"แต่หมอซิลฟาบอกว่าโรคของเจ้าไม่มีอะไรร้ายแรงไม่ใช่เหรอ"

 

"คะ" เด็กสาวรับอย่างประหลาดใจ "หมอซิลฟาว่าอะไรเหรอคะ"

 

"ตอนที่ข้าเดินไปส่งนางที่ร้านหมอ นางถามว่าข้ารู้เรื่องโรคที่เจ้าเป็นมากแค่ไหน พอข้าตอบว่าไม่รู้ นางก็บอกว่าเจ้าเป็นโรคโลหิตจางเรื้อรังแบบนึง ถ้าดูแลดีๆ ก็ไม่มีปัญหานี่นา"

 

"...จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ" โมโนรับสมอ้าง คิดว่าแม่หมอคงเดาจากส่วนผสมยากระมัง "ข้าแค่พูดเผื่อไว้ถ้าอาการเกิดแย่ขึ้นมาจริงๆ น่ะค่ะ แล้วก็..."

 

พอเธอเงียบไปนาน พี่คนจรเลยทวนคำ

 

"แล้วก็..."

 

"แล้วก็...ช่วงนี้ข้าอาจจะ...เอ่อ...ไม่ได้น่ะค่ะ"

 

"ซักพักนึง" เด็กหนุ่มถาม

 

"ค...ค่ะ ซักพักนึง"

 

"เข้าใจล่ะ" คนจรตอบง่ายเหลือเชื่อ "ไม่ต้องคิดมากหรอก พักผ่อนให้สบายเถอะ"

 

"...ค่ะ"

 

"เอาล่ะ ดึกแล้ว ถึงยังไงก็พยายามนอนให้หลับดีกว่านะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปหาแม่หมอแต่เช้า"

 

"ค่ะ" โมโนรับคำก่อนจะหลับตาลง แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอหลับไปจริงๆ เมื่อใด

 

ที่รู้แน่คือ เด็กสาวภาวนาซ้ำๆ ในใจ ขอให้อีกคนหนึ่งคาดการณ์ผิดพลาด และยังไม่มีชีวิตใดๆ เกิดขึ้นในร่างของเธอด้วยเถิด

 


 

อย่างน้อยชีวิตใหม่ของทั้งสองก็ทำให้เธอไม่มีเวลาว่างพอจะเครียดมากนัก หากไม่นับเวลาทำความสะอาดร้านหมอเสร็จแล้วไม่มีคนไข้เข้ามาเลย

 

นอกเวลางาน โมโนรู้สึกเหมือนเธอต้องเรียนรู้เรื่องงานบ้าน ทั้งจุดเตาทำอาหาร ซักล้างทำความสะอาดอีกมากมายเมื่อมีบ้านให้ดูแลทั้งหลัง คนจรเองก็เร่งทำงานช่วยเก็บเงินจนเธออดบ่นไม่ได้ว่าหักโหมแรงเกินตัว เรียกได้ว่าพอถึงเวลาเข้านอน ต่างฝ่ายจูบราตรีสวัสดิ์แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงครู่เดียวก็หลับเป็นตายเสียแล้ว

 

ถ้าไม่ใช่เพราะห้าวันผ่านไป อีกคนหนึ่งจะกลับมาโดยไม่คาดฝัน

 

เด็กสาวนั่งสางผมหน้ากระจกเงาตั้งโต๊ะในห้องนอนก่อนไปทำงานพลางฮัมเพลงเบาๆ ขณะที่คนจรเก็บล้างจานชามอยู่ด้านนอก เมื่อนั้นเองที่เงาสะท้อนของเธอยิ้มเยาะ ขยับริมฝีปากส่งเสียงดังขึ้นในใจ

 

คนขี้ขลาด

 

โมโนตกใจเสียจนเผลอร้องออกมา หวีหลุดมือ ร่วงลงกระทบพื้นไม้ เสียงแว่วๆ ดังออกมาจากนอกห้อง

 

"เสียงอะไรน่ะโมโน"

 

"ม...ไม่มีอะไรค่ะ ข้าแค่เผลอทำหวีตกน่ะค่ะ"

 

เด็กสาวก้มลงเก็บหวีขึ้นมา เมื่อมองเข้าไปในกระจกก็เห็นเงาสะท้อนยักไหล่พลางใช้นิ้วขมวดผมปอยหนึ่งเล่น

 

ไปให้พ้นนะ! โมโนพับกระจกคว่ำไว้กับโต๊ะ ทว่าเสียงของอีกฝ่ายยังไม่เลิกรา

 

รู้ว่าสู้ข้าไม่ได้ล่ะสิถึงได้ไม่กล้าน่ะ ไม่ต้องมาอ้างหรอกว่ากลัวท้อง ยังไงก็ท้องไปแล้ว ไม่เชื่อข้ารึยังไง ผู้ชายน่ะความอดทนต่ำนะ ถ้ามีอะไรกับเมียตัวเองไม่ได้ เดี๋ยวก็ไปหาผู้หญิงคนอื่นที่ตกลงแทน เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง

 

เด็กสาวแทบกระแทกหวีลงบนโต๊ะ ก้าวยาวๆ ออกจากห้อง กระทั่งคนจรหันหน้ามามองจากถังล้างจานแล้วถามอย่างสงสัย

 

"เป็นอะไรไปเหรอโมโน...ท่าทางเหมือนหงุดหงิดอะไรอยู่นะ"

 

"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ" โมโนรีบตอบพร้อมกับฝืนยิ้ม "แค่...วันนี้เห็นเงาตัวเองแล้วรู้สึกรำคาญน่ะค่ะ"

 

"ทำไม เงาสวยกว่าตัวจริงเหรอ" คำล้อเล่นของเขาทำเอาเด็กสาวตัวเกร็งขึ้นมาแวบหนึ่ง "หรือสวยน้อยกว่า"

 

"ม...ไม่รู้สิคะ" เธอหัวเราะเฝื่อนๆ "แต่...มันดูไม่เหมือนข้าเท่าไรมั้ง"

 

"งั้นเหรอ" คนจรรับเหมือนไม่ได้ใส่ใจนัก ก่อนจะวางมือหลังเรียงจานชามเสร็จ ก้าวเข้ามาใกล้แล้วใช้สายตาสำรวจดวงหน้าของเธอ "วันนี้ก็ยังสวยเหมือนเดิมนี่นา"

 

อีกฝ่ายไม่พูดเปล่า ยังช้อนเส้นผมปอยหนึ่งขึ้นกำซาบกลิ่นหอมด้วย เด็กสาวก้มหน้าลงแสร้งทำเป็นเขิน ทั้งที่ภาพติดตาในวันนั้นกลับย้อนเข้ามาในห้วงสำนึก

 

ไม่นานเขาก็ปล่อยมือ หันไปคว้าข้าวของเตรียมทำงานก่อนจะถาม

 

"จะไปกันหรือยัง"

 

"ค่ะ" โมโนรับ หยิบปิ่นโตบนโต๊ะ แล้วตามเขาออกจากบ้านเพื่อเริ่มงานของวันนั้น

 


 

เด็กสาวทำความสะอาดร้านหมอจนเสร็จตั้งแต่ตอนสาย จากนั้นก็นั่งจับเจ่าที่ม้านั่งยาว

 

ตอนอยู่ที่อาราม เวลาว่างแบบนี้เธอจะนึกอยากมีหนังสือติดมือไว้อ่านสักเล่ม แต่ดูเหมือนที่ร้านหมอและบ้านของแม่หมอซิลฟาจะมีแต่หนังสือพวกตำราการแพทย์และคู่มือสมุนไพร ซึ่งเธอไม่มีความรู้และไม่ได้สนใจด้านนี้เลย จึงได้แต่นั่งบ้าง เดินไปมาแถวร้านหมอบ้างแก้เบื่อ ยิ่งอยู่กับตนเอง คำพูดของอีกคนหนึ่งก็ยิ่งย้อนกลับมารังควานจนต้องนึกย้ำในใจ

 

...ไม่มีวันหรอกที่พี่คนจรจะไปหาผู้หญิงอื่น...

 

"โมโน"

 

"ค-คะ" เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เด็กสาวหันไปเห็นแม่หมอชราเจ้าของร้าน

 

"เที่ยงกว่าแล้ว ไม่กินข้าวก่อนหรือ"

 

"ค่ะ ว่าจะทานเดี๋ยวนี้แหละ ข้าเองก็ลืมเวลาไปเลย" โมโนเดินอ้อมไปหลังคอกเสมียนยาเพื่อหยิบปิ่นโตห่อผ้าของตน แล้วก็ตกใจเมื่อพบว่าเธอลืมแยกปิ่นโตส่วนของคนจรส่งให้เขาตั้งแต่เช้า

 

เธอตัดสินใจแยกปิ่นโตของเขาออกมา ก่อนจะร้องบอก

 

"หมอซิลฟาคะ ข้าลืมเอาข้าวให้พี่วันดา เดี๋ยวจะเอาไปให้เขาแล้วรีบกลับมานะคะ"

 

"อือ ค่อยๆ ไป ค่อยๆ มาก็ได้ ไม่ต้องรีบหรอก" หญิงชราตอบ กระนั้นเด็กสาวยังก้าวยาวๆ เร็วๆ ที่สุดหลังออกจากร้านหมอด้วยความเป็นห่วง

 

เที่ยงกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าพี่คนจรจะหิวขนาดไหน ยิ่งทำงานเหนื่อยๆ เสียด้วย

 

จำได้ว่าเขาบอกว่าเช้านี้ไปช่วยเก็บเกี่ยวที่ไร่ของญาติผู้ใหญ่ของเกชที่ชื่อทาเกล เด็กสาวเลยลองถามทางคนผ่านมาที่พอเห็น ได้รับบอกพร้อมคำเตือนน้อยๆ ว่า "ไกลอยู่นะ" แต่เธอก็ยังยืนกรานจะไปต่ออยู่ดี

 

ทว่าโมโนรู้สึกเหมือนตนยังเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร เมื่อเห็นร่างสองร่างบนทางเดินขนาบข้างด้วยพุ่มไม้และรั้วกั้นไร่ข้างทาง

 

หนึ่งในนั้นคือคนจร

 

เด็กสาวชะงักเท้ากึกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาววัยราวยี่สิบต้นๆ ผมสีทองอ่อนรวบมัดหางม้าสูง สูงเกือบเท่าเด็กหนุ่มที่ยืนหันหลังให้กับโมโน

 

ดูท่วงท่าการวางตัวของอีกฝ่ายแล้ว เด็กสาวยิ่งรู้สึกเหมือนตนยังเป็นเด็ก ทั้งรูปร่างและท่าทางของหญิงคนนั้นช่างดูเป็นผู้ใหญ่ กระทั่งเวลายิ้มหรือหัวเราะยังดูพราวพรายมีเสน่ห์น่ามอง

 

ไม่รู้ว่าทั้งสองพูดอะไรกัน แต่คนจรหัวเราะไปกับนางด้วยครู่หนึ่ง

 

และแล้วโมโนก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อหญิงคนนั้นยกมือขึ้นลูบผมเด็กหนุ่มสองสามครั้ง

 

จากนั้นทั้งสองยังคุยกันอีกสักครู่ หญิงสาวจึงได้ยื่นอะไรบางอย่างให้เขาแล้วโบกมือให้ก่อนจะกลับหลังหันเดินจากไป

 

โมโนยังยืนตัวชาอยู่ที่เดิม จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อตน

 

"โมโน"

 

เด็กสาวเห็นเด็กหนุ่มวิ่งเข้ามาใกล้ สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกำลังดีใจที่สุด

 

"อันที่จริงข้ากำลังจะมาหาเจ้าพอดี"

 

"ข้าก็ว่าจะเอาข้าวมาให้นี่แหละค่ะ" เธอพยายามตอบเสียงเรียบ แต่พอปรายตาเห็นห่อใบไม้แห้งรัดด้วยเชือกที่อีกฝ่ายได้รับจากหญิงสาวเมื่อครู่ เสียงก็กลับแข็งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ "แต่ท่าทางท่านมีของให้กินแล้ว ข้าคงมาเสียเที่ยวกระมังคะ"

 

"อ๋อ นี่น่ะเหรอ" พี่คนจรหัวเราะเบาๆ ขณะพลิกห่อข้าวเล่นในมือ "เซราถามว่าข้ากินข้าวหรือยัง พอตอบว่ากำลังจะมาเอาข้าวกล่องที่เจ้า นางเลยปันข้าวห่อให้มารองท้องก่อนน่ะ"

 

"เซรา...รู้สึกจะสนิทกันเร็วดีนี่คะ" โมโนยื่นปิ่นโตไม้ส่งให้

 

ถ้าจำไม่ผิด ผู้หญิงที่ชื่อเซราคนนั้นเป็นช่างตัดเย็บกระมัง เคยได้ยินผู้หญิงคนอื่นๆ พูดกันว่าเป็นภรรยาม่ายของช่างทอผ้าที่ตายไปแล้ว ตอนนี้ก็ยังรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า รวมไปถึงย้อมผ้าหาเลี้ยงตัวเองคนเดียว แต่เธอก็ไม่เคยพูดอะไรด้วยมากไปกว่าทักทายตอนเจอกันครั้งแรก

 

"ทำไมเหรอ" คำถามอย่างสงสัยจริงๆ ของเด็กหนุ่ม ทำให้เด็กสาวรู้สึกเหมือนมีอารมณ์บางอย่างที่ตนไม่เคยรู้สึกพลุ่งขึ้นในใจ อะไรบางอย่างนอกจากอาการแสบท้องที่ทำให้เธอรู้สึกปวดศีรษะและตาลายไปหมด

 

"ก็...ถ้าไม่สนิทกันแล้ว ทำไมนางถึงถือวิสาสะจับผมท่านล่ะคะ"

 

"หือ" คนจรดูจะงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็พูดต่อ "อ๋อ...นางทำมันฝรั่งตก กลิ้งเข้าไปในพุ่มไม้ตรงนั้น ข้าเลยมุดเข้าไปเก็บให้ แล้วมีหนอนหรือแมลงอะไรติดผมออกมา นางเลยปัดให้น่ะ"

 

"อย่างนั้นเหรอคะ"

 

เด็กหนุ่มกลับมองดูปิ่นโตที่เธอเพิ่งส่งให้แล้วถาม

 

"แล้วปิ่นโตของเจ้าล่ะ"

 

"ทำไมเหรอคะ" โมโนสะกดอารมณ์โกรธที่วูบขึ้นมา เมื่อเขาดูจะไม่ได้ใส่ใจที่เธอพูดนัก แต่คนจรดูเหมือนจะจับความรู้สึกได้ เลยเปลี่ยนคำถาม

 

"เจ้ากินข้าวหรือยัง"

 

"ยังค่ะ พอนึกได้ว่าลืมส่งข้าวให้ท่าน ข้าก็เอามาให้ก่อนนี่แหละ"

 

เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเลื่อนมือข้างหนึ่งมาแตะไหล่ของเธอ

 

"ข้าถึงได้ถามไง วันหลังถ้าลืมขึ้นมา น่าจะเอาปิ่นโตของตัวเองมาด้วยเลยนะ จะได้กินข้าวด้วยกันเพิ่มอีกมื้อ"

 

"แต่ยังไงวันนี้ข้าก็ไม่ได้เอามา ต้องเดินกลับไปทานที่ร้านของแม่หมอแล้วล่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ"

 

เด็กสาวหมุนตัวกลับ กำลังจะเดินจากไปอยู่ดีเมื่ออีกฝ่ายเรียก

 

"เดี๋ยวก่อนสิ โมโน"

 

"ทำไมเหรอคะ" เธอหันขวับ

 

"คือข้า..." สีหน้าของคนจรเริ่มลังเล "ข้าจะบอกไว้ก่อนน่ะ ว่าวันนี้ข้าอาจกลับบ้านช้าหน่อย เจ้ากลับไปกินข้าวเย็นก่อนได้เลย ไม่ต้องรอข้า"

 

"ยังช่วยงานเก็บเกี่ยวไม่เสร็จเหรอคะ"

 

"เปล่า เสร็จแล้ว แต่เซราจ้างข้าไปช่วยซ่อมหลังคาบ้านให้นางหน่อย" เด็กหนุ่มพูดแล้วรีบเสริม "เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม"

 

โมโนมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ขณะข่มความไม่สบอารมณ์ในใจไว้

 

"ข้าจะไปว่าอะไรได้ล่ะคะ ถ้าท่านรับจะทำงานให้เขาแล้ว"

 

ว่าแล้วเด็กสาวก็รีบสาวเท้ายาวๆ จากไปโดยไม่รอคำตอบ กระนั้นยังได้ยินเสียงคนจรดังตามมา

 

"แต่เตรียมข้าวไว้ให้ข้าด้วยนะ ข้าจะกลับไปกินข้าวฝีมือเจ้าแน่ๆ สัญญาเลย"

 


 

อาหารกลางวันแต่ละคำลงคอไปอย่างฝืดเฝือไร้รสชาติ แม้โมโนจะรู้ตัวว่าตนเองหิวมาก

บ่ายนั้นยังไม่มีคนไข้เช่นเคย ร้านหมอว่างเปล่าเสียจนหมอซิลฟายังถือหนังสือออกมานั่งอ่านข้างหน้า อันที่จริงเด็กสาวก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดคุยอะไร แต่ก็นึกได้ว่าอย่างน้อยยังมีเรื่องที่ตนสงสัย จึงตัดสินใจเอ่ยถาม

 

"ท่านหมอคะ"

 

"หือ" หญิงชราเงยหน้าจากตำรา "มีอะไรเหรอ"

 

"คือ..." โมโนเริ่มอึกอัก "คือ...ข้าอยากรู้ว่า...ถ้าจะตรวจว่า...เอ่อ...ท้องหรือเปล่า...ต้องทำยังไงเหรอคะ"

 

"ท้องเหรอ" หมอซิลฟาพูดอย่างครุ่นคิด "รอบเดือนขาดไปหรือเปล่าล่ะ"

 

"ร...รอบเดือนเหรอคะ" เด็กสาวนึกย้อนไปถึงสมัยเด็กๆ ที่เมยาบอกว่ารอบเดือนเกี่ยวกับการมีลูก ถึงจะยังสงสัยอยู่ว่าทั้งสองอย่างเกี่ยวข้องกันตรงไหน

 

ก็มาครั้งสุดท้ายเกือบสัปดาห์หนึ่งก่อนที่เธอจะมากับพี่คนจร แล้วทั้งสองก็ใช้เวลาเดินทางในป่าราวสองสัปดาห์ ก่อนจะมาถึงหมู่บ้านนี้อีกห้าวัน รวมแล้วก็...

 

"...เกือบเดือนหนึ่งได้แล้วมั้งคะ"

 

"ถ้าอย่างนั้นก็ยังตรวจตอนนี้ไม่ได้" แม่หมอตอบเรียบๆ "ถ้าพ้นกำหนดเดือนแรกแล้วยังไม่มาก็สงสัยไว้ก่อน แต่ถ้าจะให้รู้แน่ชัด รอสองเดือนแล้วยังไม่มาก็ให้ข้าตรวจก็แล้วกัน"

 

"ค่ะ" โมโนรับ "ขอบคุณมากนะคะ"

 

...หมายความว่ากว่าจะรู้นี่เธอต้องกระวนกระวายไปอีกถึงสองเดือนเชียวหรือ...

 

โอ๊ย! ผู้ชายน่ะทนรอตั้งสองเดือนไม่ไหวหรอก! ตัวเธออีกคนหนึ่งส่งเสียงเยาะตามมากับความคิด ป่านนี้ทำอะไรกับเซราไปบ้างแล้วก็ไม่รู้!

 

เงียบเถอะน่า!!

 

เด็กสาวกัดริมฝีปาก พยายามเก็บอาการไม่ให้หมอซิลฟาผิดสังเกต ครู่นั้นเองที่หญิงชราพูดขึ้นเรียบๆ

 

"แต่ในระหว่างนั้นก็อยู่กันไปตามปกติแหละ"

 

"ค...คะ"

 

"ข้าหมายถึง...มีสัมพันธ์กันได้ตามปกติน่ะ"

 

"อะ...ค่ะ" โมโนรู้สึกหน้าร้อนผ่าว เกิดนึกไปถึงที่ตนเองพูดกับคนจรว่าหมอที่ไหนจะกล้าพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา "ว่าแต่...ถ้ามีแล้วเกิดท้องขึ้นมาจริงๆ ล่ะคะ"

 

แม่หมอกลับมองเธออย่างสงสัย

 

"เจ้าไม่ได้อยากมีลูกหรอกเหรอ"

 

"ก...ก็อยากแหละค่ะ" เด็กสาวรีบกลบเกลื่อน "ต...แต่ไม่ใช่ตอนนี้...คือเรา...เรายังตั้งหลักปักฐานไม่ได้เลย ข้ากลัวพี่วันดาจะลำบาก"

 

"ถ้าอย่างนั้นก็นับระยะปลอดภัยเอา ก่อนรอบเดือนมาเจ็ดวัน หลังวันแรกที่รอบเดือนมาอีกเจ็ดวัน น่าจะพอช่วยได้"

 

"นับ...อะไรเหรอคะ" สีหน้างุนงงของโมโนเรียกคำอธิบายที่ทำให้ตนเองรู้สึกอายยิ่งไปกว่าเดิม

 

"คือข้าหมายถึงว่าถ้ารอบเดือนเจ้ามาตามระยะเป็นปกติ อย่างมาทุกยี่สิบแปดวัน ให้เลือกมีสัมพันธ์ในช่วงเจ็ดวันก่อนรอบเดือนมา กับเจ็ดวันหลังรอบเดือนมาวันแรกน่ะ ช่วงนั้นไม่ค่อยมีโอกาสตั้งครรภ์ แต่ถ้ารอบเดือนไม่แน่นอนก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก แล้วข้าต้องเตือนไว้ก่อนว่าวิธีนี้ใช่จะป้องกันได้แน่ๆ ด้วย"

 

แน่นอน...ไม่แน่นอน แค่นี้เด็กสาวก็หัวหมุนเสียแล้ว ตอนอยู่ที่อารามเธอไม่เคยใส่ใจนับ รู้แต่ว่ามาก็คือมา ผ่านไปเดี๋ยวอีกสักพักก็มาเท่านั้นเอง

 

"...ขอบคุณมากค่ะ" เธอเลยได้แต่เอ่ยแผ่วๆ แล้วตัดบทโดยการไม่ถามอะไรอีก

 


 

อาหารเย็นชืดหมดแล้ว

 

โมโนมองแสงตะเกียง สลับกับจานชามบนโต๊ะ สลับกับความมืดนอกหน้าต่าง นานเท่าไรแล้วเธอก็บอกไม่ถูก อาการแสบท้องยิ่งรุมเร้า แต่พอมองอาหารที่ตนทำก็กลับรู้สึกพะอืดพะอมอย่างประหลาดมากกว่า

 

เอาเถอะ เธอจะรอ ยังไงก็จะรอ

 

ป่านนี้กินข้าวบ้านเซราอยู่ล่ะมั้ง เขาน่ะ  ไม่เคยมีวันไหนเลยที่โมโนไม่อยากได้ยินตัวเธออีกคนหนึ่งบ่อยเท่านี้ ไม่ก็กินอย่างอื่นมากกว่านั้น...

 

"ต้องกลับมาสิ ก็เขาสัญญาไว้แล้วนี่" เด็กสาวย้ำกับตนเอง

 

แหม...กลับมานอนเพิ่มพลังที่บ้านอยู่แล้วล่ะ แต่จะกลับมากิน ‘ของ’ ไม่ได้เรื่องของเจ้าทำไมกัน  อีกฝ่ายยิ่งยียวน โมโนพยายามทำเป็นหูทวนลม แม้จะอดคิดตามไม่ได้ก็พยายามโต้กลับ

 

"นี่เจ้าอยากให้เขาทิ้งข้านักรึไง"

 

โธ่...ไม่อยากต่างหาก ถึงได้อยากบอกให้เจ้าปรับปรุงตัวเองเสียบ้าง ทำตัวเป็นเด็กๆ อย่างเจ้า...ตอนแรกก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่นานๆ ไปเขาก็เบื่อได้เหมือนกันล่ะ

 

"แล้วจะให้ข้าทำตัวแบบเจ้ารึยังไง!"

 

โมโนอีกคนหัวเราะน้อยๆ

 

ถ้าได้ถึงครึ่งก็ดีน่ะสิ ไม่รู้รึไง...บางทีผู้ชายเขาก็อยาก...หาความแปลกใหม่บ้างน่ะแหละ เจ้าตัวทิ้งช่วงไว้พักหนึ่ง ก่อนจะเลียบๆ เคียงๆ ข้าสอนให้ดีไหมว่าต้องทำอะไรบ้าง

 

"ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!" เด็กสาวแทบแหวใส่อีกฝ่ายแล้ว ทว่าเสียงเคาะประตูทำให้เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

โมโนลุกขึ้นไปปลดกลอนประตู และเปิดให้คนเคาะได้เข้ามาข้างใน

 

"กลับมาแล้ว" เขาพูดกับเธอ ทว่าโทสะที่ยังค้างอยู่ทำให้เธอไม่ทันได้ตอบ เพียงหลีกทางให้เขาสะพายย่ามใส่ของเดินเข้ามาข้างในเท่านั้น

 

"เจ้ายังไม่ได้กินข้าวเหรอ" คนจรถามเมื่อปรายตาเห็นจานสองชุดที่จัดไว้

 

"ยังค่ะ" เด็กสาวกลั้นเสียงตอบเรียบๆ

 

"กินไปก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอหรอก" เขาวางย่ามไว้ที่มุมโต๊ะ "แต่ขอโทษนะ...ข้าเองก็ไม่นึกว่าจะนานขนาดนี้"

 

"นางให้ค่าจ้างท่านเท่าไรหรือคะ" โมโนกลับถามตามความคิดแวบขึ้นมา

 

"หือ...ถามทำไมเหรอ"

 

"ข้าอยากรู้ไม่ได้เหรอคะ"

 

"ก็...ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอก" คนจรตอบอย่างลังเล "คือ...นางขอเชื่อเงินไว้ก่อนน่ะ เดี๋ยววันหลังจะจ่ายให้"

 

"เดี๋ยววันหลัง ซ่อมหลังคานี่แพงขนาดไม่มีเงินจ่ายสดเลยเหรอคะ" เด็กสาวกดเสียงไม่ให้สั่นไม่ได้อีกต่อไป "นี่ท่านไปซ่อมหลังคาบ้านนาง หรือไปทำอะไรกันแน่!"

 

เด็กหนุ่มตะลึงงัน นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะย้อนถาม

 

"นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนแบบไหน"

 

"ข้าจะไปรู้จักท่านดีกว่าตัวท่านเองได้ยังไงล่ะคะ" เธอโต้กลับ "แต่ใครจะรู้ล่ะ...กระทั่งผู้หญิงที่รู้จักกันแค่สามเดือนอย่างข้า...ท่านก็บอกรักเอาง่ายๆ พาหนีมาง่ายๆ แล้วผู้หญิงที่สวยขนาดนั้น...รู้จักกันไม่ถึงสัปดาห์ก็จับผมกันเสียแล้ว จะไม่...ไม่..."

 

"ข้ารักเจ้าคนเดียว" คนจรรีบขัดหนักแน่น "มีแต่เจ้าคนเดียว สาบานได้เลย"

 

"มีแต่ข้าคนเดียว...นั่นสินะคะ" โมโนรู้สึกดวงตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงภาพที่ไม่อาจลบล้างไปจากความทรงจำ...ภาพของเธอที่ไม่เหมือนเธอ กับเขา "ผู้หญิงที่ไหนก็เหมือนกันหมดแหละ ขอแค่ได้...ได้..."

 

เธอเลือกคำอย่างลำบากยากเย็น

 

"...ได้เข้าใกล้เป็นพอ เหมือนเมื่อคืนนั้นไง"

 

"เมื่อคืนนั้น..." คนจรขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "นี่ข้าต้องรับผิดชอบฝันเลื่อนลอยของเจ้าด้วยเหรอ"

 

อารมณ์ของเธอยิ่งกรุ่นขึ้นกับคำพูดของเขา

 

"ฝันเลื่อนลอย...สำหรับท่าน มันคงเป็นแค่ฝันเลื่อนลอยไร้สาระ แต่กับข้า...มันคือฝันร้ายที่เป็นจริงต่างหาก!"

 

"โมโน นี่เจ้าพูดอะไร" เสียงของเด็กหนุ่มแข็งขึ้นบ้าง "เลิกทำตัวเป็นเด็กๆ แล้วมาพูดให้รู้--"

 

"เด็ก! ข้าก็เป็นเด็กแบบนี้แหละ...เด็กขี้แย...เจ้าน้ำตา...ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้มีเสน่ห์เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้ช่างเอาอกเอาใจอย่างที่ท่านชอบสักหน่อย!!" เด็กสาวปล่อยโฮออกมา ปล่อยน้ำตาให้รินไหลอาบหน้าโดยไม่คิดจะเช็ดออก

 

"โมโน" เขาก้าวเข้ามาใกล้ ทำท่าจะปาดน้ำตาให้ แต่เธอปัดมือของเขาไปเสียก่อน สองมือของอีกฝ่ายเลยเลื่อนขึ้นมาแตะที่ไหล่ "ข้าเคยพูดอย่างนั้นเสียทีไหน"

 

"ไม่เคยพูด...แต่การกระทำมันก็บอกอยู่แล้วนี่คะ!" โมโนสะอื้น "อยู่กับข้าที่เป็นแบบนั้นแล้วมีความสุขกว่าใช่ไหมล่ะ! ท่านยังบอกเลยนี่ว่าไม่ใช่ว่าไม่ดี...แสดงว่าดีใช่ไหมล่ะคะ!! ดีกว่าข้าที่เป็นแบบนี้!!"

 

"โมโน" คนจรเขย่าไหล่เธอพร้อมกับพูดเสียงหนักๆ "สงบสติอารมณ์แล้วนั่งลงพูดกันดีๆ ก่อนได้ไหม ข้าขอร้อง"

 

"แล้วทำไมคะ! ถ้าข้าไม่ทำ...ท่านจะจับข้ามัดเหมือนเมื่อคืนนั้นเหรอ! พอมัดแล้วจะทำอะไรกับข้าก็ได้ตามใจชอบ! ชอบแบบนั้นใช่ไหมล่ะ!!"

 

เด็กสาวหลุดเสียงร้องออกมาเมื่อตนเองถูกกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่โน้มอยู่ตรงหน้า คิ้วของเขาขมวด ส่วนริมฝีปากเม้มถมึงทึงพอๆ กับคำพูดต่อมา

 

"ถ้ามันทำให้เจ้าเลิกโวยวายได้ ข้าก็จะทำ"

 

โมโนน้ำตาไหลพราก ยกมือขึ้นปิดหน้าก่อนจะสะอื้นออกมาดังๆ แต่แล้วเธอก็ประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายคลายมือจากไหล่ พอลืมดวงตาที่ยังพร่าขึ้นมองก็เห็นเขาถอยออกห่างสักระยะหนึ่งพร้อมกับเบือนหน้าไป

 

"ข้าขอโทษ" คนจรพูดก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ "แต่ถ้าไม่พูดแบบนั้น เจ้าคงกราดใส่ข้าไม่เลิกแน่ๆ"

 

"ค...คนใจร้าย" เด็กสาวพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะเค้นเสียงออกมาอีกครั้ง "...ไม่...ไม่ต้องมาแก้ตัวหรอก! ถ้าอยากทำก็ทำไปเลยสิ!...ยังไง...ยังไงข้าก็...เป็นของท่านแล้ว...หนีมากับท่านแล้ว...ท่านจะทำอะไรกับข้าก็ได้ทั้งนั้นนี่นา!! ก็ข้าไม่มีที่ไปอีกแล้ว!!"

 

เธอนึกถึงตอนที่ตนยังอยู่ที่อารามขึ้นมา บางทีเธออาจตัดสินใจผิด...บางทีเธออาจเลือกคนผิด เธอคงเชื่อใจคนง่ายเกินไป...คิดง่ายเกินไป ถึงได้กลายเป็นคนบาป...คนบาปที่มีค่าแค่เครื่องมือของอสุรเทพ...และเครื่องรองรับอารมณ์ของชายคนหนึ่ง

 

"ข้าไม่น่าจะมากับท่านเลย!" โมโนขึ้นเสียงทั้งที่ยังไม่หยุดร้องไห้ "ถ้าท่านไม่พอใจข้า...ก็พาข้ากลับไปปล่อยที่อารามซะสิ!! ทิ้งข้าให้พวกเขาเอาตัวข้าไปลงโทษ...ส่วนท่านก็ไปหาผู้หญิงคนอื่นที่ถูกใจท่านกว่านี้เถอะ!!"

 

เด็กสาวหวีดร้องเมื่อได้ยินเสียงดังปึงและเสียงถ้วยชามดินเผาสั่นริก มือของเด็กหนุ่มกำเป็นหมัดแน่น วางนิ่งอยู่บนโต๊ะที่เขาเพิ่งทุบไป พักหนึ่งจึงได้เลื่อนมือนั้นกลับมาข้างตัว

 

เขาไม่พูดอะไรต่อ กลับก้าวไปที่ประตู เด็กสาวคิดว่าเขาคงกระชากประตูให้เปิดออก ทว่าเด็กหนุ่มกลับเปิดประตูอย่างใจเย็นจนน่าประหลาดใจ ก่อนจะบอกโดยไม่หันกลับมามองเธอ

 

"ข้าจะไปดูอะโกร เจ้ากินข้าวไปก่อนก็แล้วกัน"

 

และแล้วเขาก็จากไป ประตูปิดลง ทิ้งเด็กสาวให้ก้มหน้าซบกับโต๊ะแล้วร่ำไห้

 


 

Note: ...เครียดสนิท... ="=

 

เอ้อ...อย่าเพิ่งเครียดค้างตามผมนะครับ ^^;;; อย่างน้อยท่านผู้อ่านคงรู้ว่าสองคนนี้ต้องคืนดีกันได้สิน่า เพราะในเรื่องหลักยังกลับมาหวานชื่นกันขนาดนั้น ที่ผมเครียดนั้นเป็นเพราะผมกลัวว่าจะต่อไซด์ต่อเนื่องทั้ง 3 เรื่อง Passion-Jealousy-Reconciliation ให้ยาวเหยียดออกไปอีกจริงๆ ^^;;;

 

อันที่จริง คิดว่ามี Passion เป็นตอนเริ่มประเด็นปัญหา ส่วน Jealousy เป็นตอนเร่งประเด็นปัญหาและคลี่คลายก็น่าจะลงตัวดี ทว่าพอเขียน Jealousy จริงๆ แล้ว กลับยาวกว่าที่คิดจนต้องตัดตอนในจุดที่กำลังเครียดเสียก่อน

 

จะว่าไป ผมแอบรู้สึกว่าฉากที่โมโนถามแม่หมอเรื่องตรวจนั้นก็ไม่ถึงกับเกี่ยวข้องมากนัก ถึงไม่ใส่ก็ไม่ทำให้เรื่องดูขาดอะไรไป แต่ที่ใส่มา ก็เพราะจุดนี้ช่วยเน้นคาแรกเตอร์ของโมโนที่ถูกปิดกั้นเรื่องความรู้พวกนี้ (ซึ่งผมเห็นว่าจำเป็นต่อวัยรุ่นมากถึงมากที่สุด แต่ไม่สนับสนุนให้รู้เอาไปลองนะ) ได้ดีขึ้น และผมก็อนุมาน (คิดเอง) อีกแล้วว่าผู้อ่านก็มีวุฒิภาวะกันพอควร คงไม่ใช่การชี้โพรงให้กระรอกหรอกเนอะ

 

จำที่คุณหมอซิลฟาบอกด้วยล่ะครับว่า "ใช่ว่าจะป้องกันได้แน่ๆ" ด้วย ^^;;;

 

และฉากหลุด อภินันทนาการจากคุณ Blue Mouse ขอรับ J

 

- - -

 

เด็กสาวนั่งสางผมหน้ากระจกเงาตั้งโต๊ะในห้องนอนก่อนไปทำงานพลางฮัมเพลงเบาๆ ขณะที่คนจรเก็บล้างจานชามอยู่ด้านนอก เมื่อนั้นเองที่เงาสะท้อนของเธอยิ้มเยาะ ขยับริมฝีปากส่งเสียงดังขึ้นในใจ

คนขี้ขลาด

โมโนตกใจเสียจนเผลอโยนหวีหมุนปลิวจากมือ เสียงฉึกแว่วๆ ดังออกมาจากนอกห้อง

"มีอะไรน่ะโมโน"

คนจรเดินเซเข้ามาถาม ที่หน้าผากมีหวีปักอยู่เลือดไหลอาบ

"ม...ไม่มีอะไรค่ะ ข้าแค่เผลอทำหวีหลุดมือน่ะค่ะ"

เด็กสาวเอื้อมไปดึงหวีออกมาจากหัวพี่คนจรซึ่งทรุดฮวบลงกับพื้นในทันที แต่ละซี่หวีมีสีแดงฉาน เมื่อมองเข้าไปในกระจกก็เห็นเงาสะท้อนยักไหล่พลางใช้นิ้วขมวดผมปอยหนึ่งเล่น

แม่นดีนี่

- - -

 

แล้วพบกับบทสรุปใน Reconciliation ครับ J